เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองกว่า 40 คน โดยมี นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายแก้วสรร อติโพธิ นายขวัญสรวง อติโพธิ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายสมชาย แสวงการ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายประสาน มฤคพิทักษ์ นายจเด็จ อินสว่าง นายประพันธ์ คูณมี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม พล.ท.กนก เนตระคเวสนะ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา นายกษิต ภิรมย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นายถาวร เสนเนียม นายถวิล เปลี่ยนศรี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นางสาวรสนา โตสิตระกูล ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นายคมสัน โพธิ์คง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นายไชยันต์ ไชยพร นายนันทิวัฒน์ สามารถ นายวีระ สมความคิด ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี ชัชชัย สุขขาวดี (หรั่ง ร็อคเคสตร้า) นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายมานพ เกื้อรัตน์ นายคมสันต์ ทองศิริ นางสาวณีรนุช จิตต์สม นายเสน่ห์ หงษ์ทอง เครือข่ายองค์กรแรงงานรัฐวิสาหกิจ นายจตุพร พรหมพันธ์ุ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล นัสเซอร์ ยีหมะ นายใจเพชร กล้าจน พร้อมผู้ชุมนุมกลุ่ม คปท. และกองทัพธรรม ร่วมกันแถลงข่าว “รวมพลังแผ่นดิน” เพื่อแสดงจุดยืนในการให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง และเรียกร้องให้เหล่าพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากรัฐบาล

โดย นายนิติธร เริ่มต้นกล่าวแถลงการณ์ โดยสรุปว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ผู้บริหารและผู้บัญญัติกฎหมายของไทย รวมถึงคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีใด ไม่ได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชนทำให้เกิดวิกฤติการณ์อย่างกว้างขวางและรุนแรง ทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ กระบวนการยุติธรรม ความมั่นคง และคุณธรรม

วิกฤติเหล่านี้มีสาเหตุมาจากการที่ผู้มีอำนาจไม่เคารพกฎหมาย ทุจริตฉ้อฉล บิดเบือนอำนาจ และขาดความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไร้ผล นอกจากนี้ ยังมีขบวนการสมคบคิดที่ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลจากหลายฝ่าย เช่น การเมือง ทุนผูกขาด ความมั่นคง เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระ ที่ร่วมกันทำลายรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรม คุณธรรม และอำนาจอธิปไตยของประเทศ รวมถึงขัดขวางการปราบปรามการทุจริต

ที่เลวร้ายที่สุดคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถอย่างชัดเจน และมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะการกระทำที่อาจผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราว่าด้วยความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร และขัดต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ มีหลักฐานตามข่าวสาธารณะที่บ่งชี้ถึงการสมคบคิดและการใช้อำนาจเพื่อตอบสนองความต้องการของ ‘อริราชศัตรู’ ซึ่งมีเป้าหมายรุกล้ำอำนาจอธิปไตยและยึดครองประเทศไทย พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน และขัดต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง

แม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏชัดและนายกฯ รวมถึงคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลก็ยอมรับ แต่พวกเขาก็ยังคงสนับสนุนให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งอาจถือได้ว่ามีพฤติกรรมร่วมกันเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ และกระทำการผิดกฎหมาย รวมถึงขัดต่อรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

“เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความมั่นคง และอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชน แถลงการณ์จึงเรียกร้องให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที เนื่องจากสิ้นความชอบธรรมแล้ว” นายนิติธร กล่าว

ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า บัดนี้เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่านายกฯ เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับคนไทยและประเทศไทย นายกฯ เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่สามารถที่จะให้นายกฯ คนนี้บริหารประเทศไทยต่อไปได้แม้แต่เพียงวันเดียว ผมไม่เคยเจอนายกฯ ของประเทศไหนที่ตัดหัวแม่ทัพของตัวเองส่งบรรณาการให้กับประเทศกัมพูชาเหมือนกับนายกฯ คนนี้ นายกฯ ไม่มีสิทธิพูดด้อยค่าแม่ทัพที่ไปรบแทนคนไทยด้วยลักษณะแบบนี้ ถ้าคลิปไม่หลุดพูดได้ ถ้าคลิปไม่หลุดจะไม่เป็นภัยความมั่นคงใช่ไหม คุณใช้โทรศัพท์ส่วนตัวในการคุย แต่พอมีเรื่อง คุณใช้กระทรวงการต่างประเทศ ใช้กองทัพ ในการแก้ไข เรื่องราวผ่านมาเกือบเดือน คุณไม่เคยไปที่ช่องบก แต่วันนี้เพิ่งจะไป พอมีเรื่องส่วนตัวก็คว้าเสื้อเหลืองใส่ทันที

ส่วนทางด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า นายทักษิณพยายามทุกวิถีทางการเมืองเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเองมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เนื่องจากนายทักษิณเป็นนักธุรกิจและพ่อค้า ย่อมแสวงหาผลประโยชน์ มีเงินทองและทรัพย์สินสะสมจำนวนมาก หากสังเกตจะเห็นว่าพรรคการเมืองที่ถูกตัดแยกออกไป ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย ล้วนแล้วเป็นการตัดตอนทางการเมือง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันเพื่อหยุดระบอบทักษิณให้ได้

ตั้งแต่ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี รู้สึกสงสารประเทศไทย เพราะเอาคนไม่มีความรู้ความสามารถมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็บอกตลอดว่าจะต่อสู้กับนายทักษิณ ซึ่งเคยมีกิจกรรมร่วมกันอาจจะพอสู้ได้ แต่ น.ส.แพทองธาร เป็นเพียงแค่ลูกสาว ส่วนตัวมองว่ายังคงมีปัญหาในการบริหารประเทศหลายอย่างตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นต่างๆ ท่านก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพราะถือเป็นลูกหลาน แต่เรื่องคลิปเสียงนี้ จะมองว่าเป็นเรื่องลูกหลานไม่ได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องของประเทศชาติที่พวกเราจะต้องผนึกกำลัง เอารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีความสามารถออกไปให้ได้

นอกจากนี้ นพ.วรงค์ ได้ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายกฯ เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนมาโดยตลอด ประชาชนรับรู้ได้ว่านายกรัฐมนตรีขาดความรู้ความสามารถและสติปัญญาในการเป็นผู้นำประเทศ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ความจริงเหล่านี้ก็ได้ปรากฏออกมา การสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุน เซนเป็นพฤติกรรมที่กระทำลับหลังประชาชน เมื่อพฤติกรรมลับหลังประชาชนเป็นเช่นนี้ ประชาชนจะสามารถไว้ใจนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร เพียงแค่นี้ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่า “อุ๊งอิ๊งออกไป”

ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า วันนี้มาในสถานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน บ้านพระอาทิตย์และเป็นตัวแทนของ “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล” เพื่อมาเป็นสักขีพยานและการประกาศแถลงการณ์ของภาคประชาชน รวมพลังแผ่นดิน โดยที่ทำกิจกรรมในวันนี้ พี่น้องประชาชนมารวมตัวกัน มีเป้าหมายเดียวกันคือปกป้องประเทศชาติซึ่งจากคลิปเสียงและการปฏิบัติของนายกฯ ได้มีการกระทำการที่ขาดจริยธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกฯ แล้ว สิ่งที่ปรากฏในคลิปเสียงที่เป็นเนื้อหานั้น แสดงให้เห็นว่านายกฯ เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติแน่นอน ดังนั้นหากใครยังสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคไหนก็ตามเข้าร่วมก็ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติด้วย

โดยนายปานเทพ ย้ำว่า ขอรวมพลังครั้งนี้เป็นพลังแห่งความสามัคคีในการปกป้องอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยและทวงคืนแผ่นดินไทยที่ถูกลุกลามมาทั้งหมดให้เป็นของราชอาณาจักรไทย

อย่างไรก็ตาม ด้าน นายพิชิต แกนนำ คปท. ได้ย้ำว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นฝั่งกัมพูชาตามที่ทุกคนได้แจ้งไปนั้น วันที่ 28 มิ.ย.นี้ เวลา 16.00 น. จนถึง 21.00 น. จึงขอเชิญชวนประชาชน และข้าราชการทุกหมู่เหล่า มาแสดงพลังเป็นฝ่ายประเทศไทย พร้อมเชิญชวนนำธงชาติมาโบกสะบัดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ