เมื่อเวลา 12.10 น. วันที่ 20 มิ.ย. ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โดย นางมาระตี กล่าวว่า มี 3 ประเด็นที่จะสรุปให้ทราบ 1.ขอย้ำว่าไทยไม่เคยปิดด่าน ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการในชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมาตรการที่ดำเนินการอยู่นั้น เป็นมาตรการควบคุมคนเข้าออก และปรับเวลาเปิดด่าน โดยไม่ได้มีการปิดกั้นการขนส่งสินค้าข้ามแดน ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน รัฐบาลมีความห่วงใยและจัดพิจารณาปรับเปลี่ยนมาตรการตามสถานการณ์และความจำเป็น

นางมาระตี กล่าวอีกว่า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการเปิดด่านให้ด่านชายแดนทุกแห่งในประเทศกัมพูชา ระงับการนำเข้าผัก ผลไม้ ทุกชนิดจากไทย ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 2568 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ซึ่งมีกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักที่จะดูแลรับผิดชอบในเรื่องนี้ โอกาสนี้ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา คำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองฝั่งตามแนวชายแดน ในการออกมาตรการใด ๆ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาล ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชน และไม่ควรที่จะนำให้เป็นประเด็นระหว่างประชาชนทั่วไป เพราะจะมีความเดือดร้อนและกระทบถึงความจำเป็นต่าง ๆ ในด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษาผู้มารักษาพยาบาล ฝั่งไทยจนถึงแรงงานกัมพูชา

นางมาระตี กล่าวว่า 2.ที่มีการหารือตามที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการแถลงหลังจากได้มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ต่อสาธารณชนฝ่ายกัมพูชา ขอย้ำในสิ่งที่มีการแถลงออกไป ว่าการกระทำดังกล่าว ขาดจรรยาบรรณและมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญ เป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเหตุการณ์นี้ ไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยในทางกลับกัน สถานการณ์เช่นนี้รัฐบาลไทยขอให้ประชาชนคนไทย มีความสามัคคีและขอให้มั่นใจในเอกภาพในการทำงานของรัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นางมาระตี กล่าวอีกว่า 3.รัฐบาลไทยยังเชื่อมั่นในการกลไกทางการทูต กลไกทวิภาคี และการเจรจาสองฝ่ายเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา ทั้งความตึงเครียดและปัญหาที่เกิดขึ้นในเขตแดนระหว่างกัน โดยฝ่ายไทยยังคงพร้อมที่จะหารือด้วยความจริงใจและสุจริตใจ บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ฝ่ายไทยจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) สมัยพิเศษที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้ และการประชุมชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) จะช่วยลดความตึงเครียดระหว่างกันได้

ทางด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ขอยืนยันมาตรการแนวทางการปฏิบัติของฝ่ายไทยที่เป็นธรรม เป็นขั้นตอนเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ บนพื้นฐานของความห่วงใย ความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดน กลุ่มเปราะบาง โดยการปฏิบัติแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. จำกัดการผ่านแดนโดยอนุญาตเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น ค้าขาย ขนส่งสินค้า แรงงานและงานอื่น ๆ ที่จำเป็น 2. ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนพร้อมทั้งกำหนดวันเวลา เข้าออก อย่างชัดเจน 3. ปิดจุดผ่านแดนบางจุด และ 4.ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุดกับปัจจุบัน เน้นย้ำว่าการปฏิบัติของฝ่ายไทยได้ดำเนินการในสองขั้นตอนแรกเท่านั้น โดยยึดหลักมนุษยธรรมและความพยายามบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาผู้ป่วยที่จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลยังสามารถผ่านเข้าออกได้

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องผลกระทบของแรงงานและเกษตรกรในพื้นที่ทางฝ่ายไทยของในนั้น ย้ำว่าเรามีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะแรงงาน กระทรวงแรงงานได้ให้การสนับสนุนจัดหางานทดแทน โดยติดต่อที่แรงงานจังหวัดได้ ส่วนแรงงานไทยในกัมพูชา ทางรัฐบาลมีมาตรการเตรียมการ และพร้อมให้การช่วยเหลือ ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายในการผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ส่วนเรื่องการเกษตร กระทรวงพาณิชย์ ได้มีมาตรการช่วยเหลือและได้มีการจัดงานเทศกาลผลไม้อย่างต่อเนื่อง และมอบให้พาณิชย์จังหวัด ช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อยและชาวบ้านในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ประสานในการจัดการที่เหมาะสม โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ในการนำสินค้าพืชผักผลไม้ในพื้นที่ออกมาจำหน่ายให้กับประชาชน

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า สุดท้ายกองทัพขอให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนในการปกป้องดูแลอธิปไตยของไทย กำลังพลทุกนายของกองทัพ โดยเฉพาะในพื้นที่กองกำลังป้องกันชายแดน มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้นายกฯ ได้มีการกำหนดการลงพื้นที่ เพื่อพบปะกำลังพลทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารี และมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ณ ฐานปฏิบัติการมรกต อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รัฐบาลและกองทัพดำรงความเป็นเอกภาพ และขอให้ประชาชนดำรงความสามัคคีในช่วงที่ทุกคนต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนเป็นทีมไทยแลนด์ สนับสนุนช่วยเหลือกันโดยตลอด ที่ผ่านมาขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วน ที่ให้การสนับสนุนกองกำลังป้องกันชายแดนอย่างต่อเนื่อง