เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังพรรคภูมิใจไทย ไปเป็นฝ่ายค้านและอยากทำหน้าที่ทันที โดยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ซึ่งจำเป็นต้องใช้เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใน 5 ของ สส.ที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้หมายถึงจำนวน 99 คนขึ้นไป ซึ่งพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว เสียงไม่พอยื่นอภิปราย ต้องมีเสียงสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอีกไม่ต่ำกว่า 30 คน

นายจิรายุ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้กระทำได้ในระบบรัฐสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วไปเป็นฝ่ายค้าน จะยื่นอภิปรายตั้งแต่วันแรกที่เปิดสมัยประชุมเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง เกรงว่าจะเป็นการทำหน้าที่ฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน ตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ 

นายจิรายุ กล่าวว่า หากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเดียวที่มีเสียงเพียงพอในการยื่นญัตติ จะผสมโรงลงชื่อด้วยก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะการอภิปรายครั้งที่ผ่านมา กลับพบว่าไม่อภิปรายในส่วนของพรรคภูมิใจไทยเลย แต่พอพรรคภูมิใจไทยยื่นอภิปรายพรรคเพื่อไทยแล้วจะรีบตอบรับทันทีหรืออย่างไร หรือข่าวลือเรื่องการผสมสีจะเป็นจริง ส่วนข้อเรียกร้องของพรรคประชาชนเวลานี้ คือ ให้ยุบสภา แต่ถ้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่ากับปิดโอกาสยุบสภา ก็อยากเห็นว่า จุดยืนของพรรคแกนนำฝ่ายค้านตกลงจะเป็นอย่างไร 

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ประเทศกำลังต้องการความสามัคคีเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาระดับโลกทั้งเรื่องของอิหร่าน อิสราเอล และชายแดนกัมพูชา รวมทั้งเรื่องแก้ไขปัญหาภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ และการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างแข็งขัน และเชื่อว่าผลงานจะออกดอกออกผลในไตรมาสที่ 3 และ 4 นี้อย่างแน่นอน