“ช่วยด้วย! เป็นแผลร้อนในอีกแล้ว!”
“ไม่ได้กินเผ็ดเลยนะ ทำไมแผลร้อนในไม่ยอมหายสักที?”

คุณเคยประสบกับความทรมานแบบนี้ไหม? แผลร้อนใน (Aphthous Ulcer) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “แผลในปาก”

แผลร้อนในคือแผลกลมหรือวงรีที่ปรากฏบนเยื่อบุช่องปาก บริเวณรอบๆ จะบวมแดง และเจ็บปวดมาก! แม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเกิดซ้ำบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่

ประชากรโลกกว่า 1 ใน 4 ต้องเผชิญกับปัญหาแผลร้อนใน ประเทศไทยเอง ประชากรประมาณ 10%-25% มีภาวะแผลร้อนในเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุ 10-30 ปี และผู้หญิงมีอัตราการเกิดแผลสูงกว่าผู้ชาย

แผลร้อนในส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่หากเกิดซ้ำบ่อยๆ มีขนาดใหญ่ผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้, ต่อมน้ำเหลืองโต นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคเบห์เช็ต (Behcet’s Disease) หรือ โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus)!

แผลร้อนใน… อาจไม่ใช่แค่ “ร้อนใน” อย่างที่คิด

90% ของคนเป็นแผลร้อนใน จะรีบดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น สุดท้ายพบว่า… แผลไม่หาย แถมเป็นบ่อยขึ้น!

แผลร้อนในทางการแพทย์เรียกว่า “แผลร้อนในชนิดแผล Aphthous” โดย 80% เป็น “แผลร้อนในชนิดเป็นซ้ำ (Recurrent Aphthous Ulcers – RAU)” ซึ่งแท้จริงแล้วคือการที่ระบบภูมิคุ้มกัน “ทำร้ายตัวเอง” โดยเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่า เยื่อบุช่องปากเป็นศัตรู แล้วเข้าโจมตีจนเยื่อบุเสียหาย!

อะไรคือ “ตัวการ” ที่ทำให้เป็นแผลร้อนในซ้ำซาก? สาเหตุของแผลร้อนในมีความซับซ้อน มักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน “ประท้วง”

ความเครียดสูงปรี๊ด: อดนอน, วิตกกังวล, อ่อนเพลียมากเกินไป ทำให้ภูมิคุ้มกันตก และเยื่อบุช่องปากอ่อนแอลง

โรคแทรกซ้อน: ช่วงที่เป็นหวัด, มีไข้ หรือระหว่างการทำเคมีบำบัด ระบบภูมิคุ้มกันจะแปรปรวน จึงเกิดแผลร้อนใน

ขาดสารอาหาร

วิตามินบางชนิดขาดหาย: การขาดวิตามิน B12, B2, โฟลิก, เหล็ก, สังกะสี ทำให้ความสามารถในการซ่อมแซมเยื่อบุลดลง

พฤติกรรมการกินที่ผิด: คนที่ไม่กินผักผลไม้เป็นประจำ หรือคนที่อดอาหารลดน้ำหนัก มีความเสี่ยงสูงขึ้น!

การบาดเจ็บทางกายภาพ

พลั้งเผลอ: กัดปากตัวเอง, แปรงฟันแรงเกินไป, หรือการใส่เหล็กจัดฟัน/ฟันปลอมที่ไม่พอดี อาจทำให้เยื่อบุบาดเจ็บ

อาหารแข็งกระด้าง: การกัดถั่วแข็งๆ หรืออาหารทอดกรอบๆ อาจทำให้เยื่อบุ “เปิดทาง” ให้แผลเกิดได้โดยตรง

ฮอร์โมนแปรปรวน “ก่อกวน”

ช่วงเวลาพิเศษของผู้หญิง: การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดแผลร้อนในได้บ่อยขึ้น

กรรมพันธุ์และการติดเชื้อ: งานวิจัยพบว่าแผลร้อนในอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรม

ระดับความรุนแรงของแผลร้อนใน แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

แผลร้อนในชนิดไม่รุนแรง (Minor Aphthous Ulcers): เป็นแผลเดี่ยว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ซม. ปวดเล็กน้อย หายเองได้ภายใน 7-10 วัน

การจัดการ: ไม่ต้องรักษาเฉพาะเจาะจง แต่อาจใช้แผ่นแปะแผลร้อนใน หรือสเปรย์ที่มีส่วนผสมของยาชาเพื่อบรรเทาอาการปวด

แผลร้อนในชนิดปานกลาง (Major Aphthous Ulcers): เป็นแผลหลายจุด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม. ปวดชัดเจน อาจส่งผลต่อการกิน

การจัดการ: ใช้เจลต้านการอักเสบเฉพาะที่ (เช่น ยาอม Dexamethasone), น้ำยาบ้วนปาก หรืออาจต้องใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในระยะสั้นหากจำเป็น

แผลร้อนในชนิดรุนแรง (Herpetiform Aphthous Ulcers): แผลลึกและใหญ่ (ขนาดเกิน 2 ซม.) เจ็บปวดรุนแรง อาจมีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองโต

การจัดการ: ต้องรักษาแบบทั้งระบบ อาจต้องเสริมวิตามินและแร่ธาตุ หรือใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)

วิธีเร่งให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น

บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำเกลืออุ่นๆ (น้ำ 1 แก้ว + เกลือครึ่งช้อนชา) บ้วนปากวันละ 3-4 ครั้ง ช่วยฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ

งดอาหารรสจัด, เผ็ดจัด, ร้อนจัด, และอาหารรสเปรี้ยว เช่น พริก, ส้ม, น้ำอัดลม

ใช้ยาเฉพาะที่ จัดการปัญหาตรงจุด ใช้แผ่นแปะแผลร้อนในที่มีส่วนผสมของ Lidocaine นอกจากจะช่วยป้องกันการระคายเคืองแล้ว ยังช่วยระงับปวดได้ด้วย

“สเปรย์สมุนไพร” มีฤทธิ์เย็น ช่วยลดร้อนและบรรเทาอาการได้ดี!

อาหารที่ช่วยทำให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น อาหารที่มี…
วิตามินบีรวม: ไข่, ข้าวกล้อง, เนื้อไม่ติดมัน คือ “เครื่องมือซ่อมแซม” ตามธรรมชาติ
วิตามินซี: กีวี, สตรอเบอร์รี, พริกหวานสีต่างๆ ช่วยเร่งการสมานแผล
สังกะสี: หอยนางรม, เนื้อวัวไม่ติดมัน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

“นอนให้เพียงพอ” เข้านอนก่อน 5 ทุ่มทุกคืน การนอนหลับไม่เพียงพอคือ “ตัวเร่ง” ให้แผลร้อนในกลับมา

ไม่อยากให้แผลร้อนในกลับมาเป็นอีก..

กินอาหารให้สมดุล บอกลา “รสจัด”
กิน “อาหารสีเขียว”: ผักใบเขียวเข้ม (เช่น ผักโขม), ธัญพืชไม่ขัดสี, ถั่วต่างๆ อุดมด้วยวิตามินบีรวม
หลีกเลี่ยงพริก, กาแฟ, แอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้เยื่อบุช่องปาก “ร้อนเป็นไฟ”
เปลี่ยนแปรงสีฟันเป็นแบบขนนุ่ม แปรงฟันเบาๆ หลีกเลี่ยงการแปรงแรงเกินไป
ตรวจสอบเหล็กจัดฟัน/ฟันปลอม ปรับแก้การออกแบบที่ไม่เหมาะสม เพื่อลดการเสียดสี
ออกกำลังกายคลายเครียดด้วยการ เดินเร็ว เล่นโยคะวันละ 30 นาที
นั่งสมาธิวันละ 10 นาที ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด

ที่มาและภาพ : sohu