ช่วงนี้ “ทักษิณแพทองธาร ชินวัตร” 2 พ่อ-ลูกแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า เจอแต่เรื่องร้อนแรงรุมเร้าหนักหน่วง เหมือนกับโดนขึงพืดกลางสนามการเมือง

โดยฝ่ายลูกสาว “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนู

มีมติเสียงข้างมากสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย กรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นคำร้องขอให้ชี้ขาดสถานะความเป็นนายกฯของ “แพทองธาร” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และมาตรา 170 จากเหตุคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทบกับอธิปไตยของไทย

ด้าน “นายกฯอิ๊งค์” แม้กล่าวน้อมรับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ และขอโทษพี่น้องชาวไทยที่รู้สึกโกรธเคืองกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังเอ่ยคำพูดเหน็บแนมห้อยติ่งด้วยว่าวิธีการที่ตัวเองทำไปนั้นอาจไม่ถูกใจใครหลายๆคน

อย่างไรก็ตาม เรื่องยังไม่จบง่ายๆ เพราะยังเกิดกระแสอื่นๆ รุมถล่มเข้ามาอีกหลายระลอก ไม่ว่าจะเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆฝ่ายที่มองว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ “รัฐบาลแพทองธาร” เดินต่อได้ยาก เพราะต้องต่อสู้กับนิติสงคราม ต้องเจอการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ลุกฮือขับไล่ อีกทั้งมีเสียงสะท้อนจากสื่อต่างประเทศหลายแห่งที่มีต่อผู้นำรัฐบาลไทยจากเหตุคลิปเสียงเจ้าปัญหา และลามไปสู่การถูกศาลฯ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งฉุดเครดิตความน่าเชื่อถือและคะแนนนิยมของผู้นำไทยให้ลดลง รวมถึงอาจกลายเป็นเหตุยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่างๆของไทย

และหลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้“นายกฯอิ๊งค์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้น 20.45 จุด มาปิดที่ 1,110.01 จุด ถือเป็นปรับตัวขึ้นสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ตามด้วยเสียงเรียกร้องอื้ออึงจากหลายทิศทางที่ขอให้นายกฯหญิงลาออกจากตำแหน่งทันทีโดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา เพื่อจะได้ยุติปัญหา และผ่าทางตันทางการเมือง พร้อมกับปิดช่องทางไม่ให้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาแทรกแซงเกมการเมือง

วิบากกรรมครั้งนี้มาจากการกระทำของ “นายกฯแพทองธาร” และหนทางที่จะเดินต่อไปนับจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากยอมลาออกจากตำแหน่ง ก็คงต้องถามว่าเจ้าตัวจะยังมีมีที่ยืนในประเทศไทยอยู่หรือไม่ หากเหลือเพียงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ยังมีคำถามอยู่ว่าจะช่วยยืดชีวิตตัวเองในทางการเมืองได้สักเพียงใด และจะนำพาค่ายสีแดงพรรคเพื่อไทยล้มระเนระนาดไปหรือไม่

นอกจากลูกสาวที่ยังผจญมรสุมนิติสงครามแล้ว ฝ่ายผู้เป็นพ่ออย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ในสภาพร่อแร่ ตกเป็นจำเลยสู้คดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร กรณีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน เกิดเป็นคดีความนานกว่า 10 ปี

แถมยังมีคดีจากกรณีเข้าพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่ถูกวิจารณ์ว่าอาจเป็นดาบสองรอฟันซ้ำ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่ส่งเจ้าตัวกลับไปนอนเรือนจำ

ถือได้ว่าเป็นการรุกฆาตของนิติสงคราม และยังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพ่อลูก “ตระกูลชินวัตร” ว่าจะถึงคราวจบชีวิตทางการเมือง หรือจะเดินไปได้อีกสักแค่ไหน