สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติของเยอรมนีมีมติเสียงข้างมาก ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ ผ่านร่างแก้ไขเพิ่มเติมสำหรับกฎหมายควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดระลอกที่สี่ของโรคโควิด-19


สำหรับชุดมาตรการที่จะมีการเพิ่มเติม รวมถึง “การต้องฉีดวัคซีนให้ครบตามเงื่อนไขของวัคซีนแต่ละแบบ” ซึ่งในระยะแรกจะมีผลบังคับใช้เฉพาะกับบุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า และผู้ที่ทำงานอยู่ภายในสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ทุกคนต้องจัดการรับวัคซีนให้เรียบร้อย

มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2565 โดยกฎหมายจะมีข้อยกเว้นให้กับบุคคล “ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพอย่างแท้จริงเท่านั้น” นอกเหนือจากกรณีนี้อาจสูญเสียตำแหน่งงาน หากไม่ยอมฉีดวัคซีน


ปัจจุบัน บุคลากรทุกคนในสายงานสาธารณสุข และพนักงานในสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ต้องแสดงหลักฐานก่อนเข้าสู่พื้นที่การปฏิบัติงาน ที่เป็นการยืนยันการฉีดวัคซีนครบแล้ว การมีผลตรวจเป็นลบไม่เกินเวลาที่กำหนด หรือการเพิ่งหายป่วยจากโรคโควิด-19


นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังอนุญาตให้สัตวแพทย์และทันตแพทย์สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนได้ และที่ประชุมกำลังอภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดให้การฉีดวัคซีนโควิด-19 “เป็นเงื่อนไขที่ครอบคลุม” กับประชาชนทุกกลุ่มด้วย


นพ.คาร์ล เลาเทอร์บัค รมว.สาธารณสุขของเยอรมนี แสดงความเชื่อมั่น ว่าเยอรมนีจะสามารถฝ่าฟันวิกฤติสาธารณสุขครั้งนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ซึ่งประชาชนฝากความหวังเรื่องการดูแลสุขภาพ กลับเป็นฝ่ายละเลยมาตรการ และไม่ยอมฉีดวัคซีนเสียเอง เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่มีทางยอมรับ


ขณะที่ผลการสำรวจความคิดเห็นชาวเยอรมัน โดยสถานีโทรทัศน์แซดดีเอฟ ปรากฏว่า เกือบ 70% ของกลุ่มตัวอย่าง สนับสนุนการบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 ปัจจุบัน เยอรมนีซึ่งมีประชากรประมาณ 84 ล้านคน ฉีดวัคซีนครบครอบคลุมประชากร 69% ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง.

เครดิตภาพ : AP