บริษัทคาเร็กซ์แห่งมาเลเซียซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คาดการณ์ถึงตลาดของถุงยางอนามัยในปีนี้ว่ามีแนวโน้มที่ยอดขายจะพุ่งสูงยิ่งกว่าช่วงก่อนหน้าที่จะมีโรคโควิด-19 ระบาด เนื่องจากมีความต้องการในตลาดสูง ซึ่งมาจากความต้องการสินค้าระดับพรีเมียมของกลุ่มลูกค้าทั่วไปและความต้องการเก็บสำรองสินค้าขององค์กรเพื่อสุขอนามัยของภาครัฐ
ยอดขายของถุงยางอนามัยแบรนด์ดังอย่าง ‘ดูเร็กซ์’ เพิ่มขึ้นถึง 30% ในปีงบประมาณ 2564 และคิดเป็น 60% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแล้ว นับเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 49%
“ในขณะที่การบริโภคโดยรวมของโลกลดลง 40% แต่ตลาดของลูกค้าของคาเร็กซ์กลับมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ” โกฮ์ มิอาห์ เคียต ซีอีโอของคาเร็กซ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันที่ 14 ม.ค.
“ปีนี้ ผมคาดว่าความต้องการสินค้าจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่เคยเป็นในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด มูลค่าของยอดขายจะยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าระดับพรีเมียมมากขึ้น”
โกฮ์บอกแก่ผู้สื่อข่าวว่ายอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มลูกค้าทั่วไป หลังจากที่ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อรับมือสถานการณ์โรคระบาด ทำให้ต้องปิดโรงงานหลายแห่งและระงับกิจกรรมทางสังคมทั้งหมด แต่เขาปฏิเสธที่จะบอกตัวเลขที่ชัดเจน
ช่วงสิ้นปีปฏิทินในเดือนมิถุนายน 2564 ยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้น 6% เทียบกับ 4% ของปีก่อนหน้านั้นในช่วงเดียวกัน แม้ว่าบริษัทจะต้องลงบันทึกว่าเป็นปีแรกที่บริษัทขาดทุน นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2556
สำหรับปีงบประมาณ 2565 นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายของสินค้าประเภทนี้จะเติบโตราว 9% ตามข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเรฟินิทีฟ
โกฮ์กล่าวว่าความต้องการสินค้าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการสั่งซื้อเพื่อสำรองสินค้าจากกลุ่มผู้จัดจำหน่ายและองค์กรต่าง ๆ ของทางการ ซึ่งมีของสำรองอยู่ในมือลดน้อยลงอย่างมากในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา
บริษัทยังวางแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ ในปีนี้ เช่น ถุงยางอนามัยที่ผลิตจากวัสดุประเภทใยสังเคราะห์และกำลังมองหาวิธีที่จะผลิตถุงมือทางการแพทย์ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น
โกฮ์ยังกล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการผลิตถุงมือไว้ที่ 500 ล้านชิ้นภายในเดือนมีนาคมปีนี้ จากโรงงานของตัวเองในประเทศไทย และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างเต็มที่จนถึงระดับสูงสุดที่ 2,500 ล้านชิ้นภายในเวลา 3 ปี
เครดิตภาพ : Getty Images
