คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ไม่คุ้มครองการฟ้องของ “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. นั้น เมื่อวันที่ 21 ม.ค.65 ที่ผ่านมา ทำให้สถานะของ “บิ๊กต้อย” พล.ต.อ.วิระชัย สั่นคลอนขึ้นมาทันที เนื่องจากก่อนหน้าจะได้เข้ามานั่งในตำแหน่งนี้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.64 ที่ผ่านมานั้น พล.ต.อ.วิระชัย อยู่ในสถานะ “สำรองราชการ” จากคำสั่งของ “ผบ.แป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในขณะนั้น และมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.วิระชัย พ้นจากตำแหน่งราชการ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.63 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่มาของการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจนกระทั่งศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาไปเมื่อวันที่ 13 ก.ย.64

ณ วันนี้ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า สถานะ พล.ต.อ.วิระชัย จะอยู่ในระบบ “สำรองราชการ” หรือ “ออกจากราชการ” เนื่องจากคนที่ฟันธงจริงๆคงต้องเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ถือว่าเป็นผู้ชี้ชะตา “บิ๊กต้อย” อย่างแท้จริง แต่งานราชการก็คงต้องเดินหน้าต่อไประหว่างการรอพิจารณา ตัดสินจากผู้มีอำนาจ

งานราชการที่อยู่ในอำนาจของ พล.ต.อ.วิระชัย คือ งานกิจการพิเศษ   ซึ่งมีการเกลี่ยงานให้ “รองผบ.ตร.” คนอื่น กำกับดูแลเพิ่มเติม ส่วนงานศูนย์อาชญากรรมพิเศษ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ศปลป.ตร.) และ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ (ศปน.ตร.) มีนายตำรวจระดับ รองหัวหน้าศูนย์ ดำเนินการได้ตามกลไกของศูนย์อยู่แล้ว …ประเด็นงานราชการ ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ที่น่าสนใจ คือ ตัวทดแทนตำแหน่ง “รองผบ.ตร.” ที่จะเกิดขึ้นมากกว่า

“รองผบ.ตร.” คือ นายตำรวจยศ “พล.ต.อ.” ที่มีสิทธิในการถูกเสนอชื่อเข้าชิงเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ในอนาคต โดยไม่มีการยึดหลักอาวุโสสักเท่าไหร่ หากมองไปยาวๆถึงช่วงสิงหาคม-กันยายน 2565 นี้ เมื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ เกษียณอายุราชการแล้ว จะมีการส่งไม้ต่อให้กับ “รองผบ.ตร.” ที่ยังคงอยู่ในราชการ คือ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ส่วนคนอื่นๆถึงเวลาเกษียณอายุราชการไปพร้อมๆกับ “ผบ.ปั๊ด” และหากมีการเสนอชื่อแต่งตั้งทดแทน พล.ต.อ.วิระชัย จะทำให้แคนดิเดต ผบ.ตร.คนใหม่จาก “3 บิ๊ก” จะเป็น “4 บิ๊ก” ทันที

“บิ๊กที่ 4” ถูกเขียนชื่อในอากาศขึ้นมาทันที “ระดับผู้ช่วยผบ.ตร.หรือเทียบเท่า” ที่มีสิทธิได้ขึ้นมาก่อนคนอื่นๆ เพื่อไปขึ้นเวทีท้าชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. มีทั้งชื่อ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ที่มีความอาวุโส 1-3 …ยังไม่นับรวมอาวุโสลำดับที่ 4 อย่าง” ผู้ช่วยโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ ลำดับสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดอย่าง “ผู้ช่วยต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ทางออกกรณีที่มีการสำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย หรือให้ออกนั้น มี 3 ทางเลือก คือ ทางเลือกแรก ไม่มีการแต่งตั้งทดแทน รอเวลาแต่งตั้งในคราวเดียวเลยคือกันยายน 65 ทาง ตร.ได้ตั้ง พล.ต.อ.ป้ายแดง 4 นายรวด หรือ ทางเลือกที่สอง แต่งตั้งทดแทนทันที ซึ่งทางตร.จะแต่งตั้งได้ 1 นาย หรือ ทางเลือกที่สาม แต่งตั้งทดแทนในวาระเดือนเมษายน 65 พร้อมๆกับการแต่งตั้งที่ปรึกษา-ผู้ทรงคุณวุฒิ …ต้องนั่งเดาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จะสั่งการให้ออกมาหน้าไหน ???

หากนั่งนับนิ้วอย่างเป็นธรรมไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เอาตามอายุราชการแล้ว จะพบว่า “สูตร 3+1” จะมีข้อมูลที่น่าสนใจ คือ สูตรที่ 1 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ถูกเลือกเป็น ผบ.ตร. จะดำรงตำแหน่งได้ 1 ปี (เกษียณปี 2566) เป็นนรต.รุ่นที่ 38 ที่ยังมีกลุ่มเพื่อน กลุ่มน้องในสายบังคับบัญชาได้ใช้งาน แต่การอยู่ในเก้าอี้ 1 ปีจะน้อยไปหรือไม่ ต้องถามใจคนเลือก

สูตรที่ 2 พล.ต.อ.วิสนุ ถูกเลือกเป็น ผบ.ตร.  จะดำรงตำแหน่งได้ 1 ปี (เกษียณปี 2566) ไม่ได้จบรร.นายร้อยตำรวจ จะเป็นปัญหาอุปสรรคในการทำงานหรือไม่ คนในวงการสีกากีรู้กันดีอยู่แล้วรวมถึงสายทหารและการเมือง ก็ทราบดี ซึ่งการอยู่ในเก้าอี้ 1 ปีจะน้อยไปหรือไม่ ต้องถามใจคนเลือกอีกคน

สูตรที่ 3 พล.ต.อ.รอย ถูกเลือกเป็น ผบ.ตร. จะดำรงตำแหน่งได้ 2 ปี (เกษียณปี 2567) เป็น นรต.รุ่นที่ 40 มีกลุ่มเพื่อน พี่ น้อง ในสาย นรต.สังกัดต่างๆ ใช้งานได้หลากหลายและวางอนาคตได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะอยู่นาน 2 ปี จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาต่างๆได้ แต่ก็ต้องถามใจคนเลือกว่าชอบมากน้อยแค่ไหน

สูตรที่ 4 “ พล.ต.ท.” ผู้ถูกผลักดันขึ้นมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้น ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและเงื่อนไขหลายขั้นจึงจะทราบตัวตนได้ว่าเป็นใคร ทั้ง พล.ต.ท.ชินภัทร (เกษียณ ปี 2566) พล.ต.ท.ไกรบุญ(เกษียณ ปี 2568) พล.ต.ท.สราวุฒิ(เกษียณ ปี 2567)  พล.ต.ท.สุรเชษฐ์(เกษียณ ปี 2574)  พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ (เกษียณ ปี 2567) แต่หากเช็คขุมกำลัง และอายุราชการแล้ว คงหนีไม่พ้น 3 นายตำรวจอย่าง พล.ต.ท.ไกรบุญ(เกษียณ ปี 2568) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์(เกษียณ ปี 2574)  พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ (เกษียณ ปี 2567) ที่น่าจะขับเคี่ยวกันขึ้น “พล.ต.อ.”

หากมองคนที่ต้องรีบหากต้องการมีชื่อเข้าชิง “พิทักษ์1” คือ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ที่จะเกษียณในปี 2567 ส่วน พล.ต.ท.ไกรบุญ เกษียณ ปี 2568 และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกษียณ ปี 2574 ไม่น่าจะต้องรีบร้อน ยังมีเวลาทำงานอีกหลายปี

สูตรใดก็ตาม ก็ต้องดู “การเมือง-การทหาร” ด้วยว่าจะเลือกสูตรไหนเป็นผลสัมฤทธิ์ ที่จะเข้ามาเป็นแขนเป็นขา เป็นกำลังและมันสมอง ในการประคับประคอง “รัฐบาล” และประเทศให้เดินต่อไปอย่างสงบ แต่ที่แน่ๆในแวดวงสีกากีทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลรูปแบบใด “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” คือวลีเด็ดและตอบทุกเหตุของการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ.