เมื่อวันที่ 31 ม.ค. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศพดส.ตร. พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผบก.อธ. พล.ต.ต.พิพัฒน์ ชุมมณีกูล ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร, พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร พร้อมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ภ.จว.กำแพงเพชร ประชุมติดตามความคืบหน้าดำเนินการตรวจสอบ เร่งรัดคดีจับกุมขบวนการค้าแรงงานต่างด้าว ขนศพ-คนเจ็บ และแรงงานเมียนมาปล่อยทิ้งข้างทางกำแพงเพชร ส่งสำนวนคดีให้อัยการจังหวัดกำแพงเพชร

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์  กล่าวว่า สืบเนื่องจากพบกลุ่มบุคคลต่างด้าวจำนวน 23 ราย ถูกทิ้งไว้ที่บริเวณหมู่บ้านหนองนกกระทา ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โดยมีผู้บาดเจ็บจำนวน 4 ราย และเสียชีวิต จำนวน 3 ราย ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย นายอุทัย แซ่ม้า อายุ 32ปี, นายทราย เวียน ตู  อายุ 31 ปี, นายจิรวิทย์ แซ่ม้าอายุ 23 ปี, นายไชยา วัชรวนา อายุ 20 ปี, นายสุชัจจ์ จังพินิจกุล อายุ 21 ปี, นายเลา แซ่จ้าง อายุ 34 ปี และนายณรงค์ฤทธิ์ แซ่วื่อ อายุ 29 ปี ซึ่งทั้งหมดมีพฤติกรรมทำเป็นขบวนการที่คอยประสานงานกับชาวเมียนมาไม่ทราบชื่อที่ฝั่งประเทศเมียนมา เพื่อคอยรอรับขนแรงงานต่างชาติขึ้นรถกระบะที่จัดเตรียมไว้ โดยมีการขนแรงงานไปส่งยังจุดพักคอยต่อไปที่บริเวณ จ.ตาก เพื่อส่งต่อในพื้นที่ชั้นใน หรือเดินทางไปยังประเทศที่สาม

ทั้งนี้ในส่วนของการปราบปรามขบวนการลักลอบขนบุคคลต่างด้าวเข้ามาในไทย พร้อมทั้งขยายผลถึงเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ที่ได้อาศัยช่องทางธรรมชาติตามชายแดนของไทย ลักลอบนำบุคคลต่างด้าวข้ามชายแดนไทย เพื่อส่งต่อไปยังประเทศที่สาม หาประโยชน์โดยมิชอบจากกลุ่มบุคคลต่างด้าวที่ต้องการเดินทางข้ามประเทศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ และยังส่งผลกระทบต่อมาตรการความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปในสังคมในวงกว้าง ซึ่งเป็นนโยบายหลักของทางรัฐบาลและทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เน้นย้ำสั่งการ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการประชุมหารือกับทางคณะพนักงานสอบสวน เบื้องต้นคดีนี้ทางคณะพนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 7 คน ในฐานความผิด “ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าว ให้เข้ามาในราชอาณาจักรและร่วมกันรู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.นี้ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” อย่างไรก็ตามคดีนี้ยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ยังต้องดำเนินการสืบสวนจนออกหมายจับผู้ต้องหาในประเทศเมียนมา และทำให้เป็นคดีตัวอย่าง โดยจะนำสำนวนการสอบสวนทั้งหมด เข้าปรึกษากับพนักงานอัยการเพื่อให้มีพยานหลักฐานครบถ้วนและเกิดความเป็นธรรมสามารถตอบคำถามสังคมได้ และจะประสานกับ ป.ป.ง.เพื่อทำการยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ต่อไป