เมื่อวันที่ 4 ก.พ.นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และเจ้าของเพจ ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns โพสต์ข้อความมีรายละเอียดดังนี้ประเทศคู่กรรม

-เมื่อวานเพิ่งให้สัมภาษณ์เรื่องครบรอบหนึ่งปีการทำรัฐประหารในพม่า และวันนี้ก็ครบรอบแปดปีล้มการเลือกตั้งในไทยโดยอ้างว่าต้องปฏิรูปก่อน ซึ่งกลายเป็นการปูทางไปสู่การปล้นอำนาจประชาชนในที่สุด ก็อยากมาคุยเรื่องนี้กันนะครับ

เท่าที่ติดตามดูสถานการณ์ในพม่าขณะนี้ดูเหมือนจะมีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ การปราบปรามประชาชนเป็นไปอย่างโหดร้ายชนิดแทบไม่มีการคำนึงถึงกฎเกณฑ์ใดๆอีก ไม่กับต่างสภาวะสงครามกลางเมืองนัก แต่ถึงขนาดนั้น ยังกล่าวได้ว่าประชาชนชาวพม่ายังคงยืนหยัดต่อสู้ คัดค้านการยึดอำนาจโดยกองทัพพม่าอย่างอาจหาญและไม่มีทีท่าว่าจะลดถอยแผ่วลงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกับดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และได้แรงสนับสนุนเห็นใจจากประชาคมโลกไม่น้อย

แม้ว่ากองทัพพม่าจะมีกำลังและอาวุธในมือ แต่มาถึงตอนนี้คนที่น่าจะต้องเป็นกังวลมากที่สุดก็น่าจะเป็นตัว มิน อ่อง หล่าย หัวหน้ารัฐบาลทหารพม่านั่นเอง เพราะผ่านไปหนึ่งปีก็ยังกระชับอำนาจ ควบคุมอะไรในพม่าไม่ได้จริง และดูเหมือนแรงสนับสนุนจากต่างประเทศก็ลดถอยลงแทบไม่เหลือ กล่าวได้ว่าขณะนี้สถานการณ์ในพม่าไม่ได้เป็นคุณประโยชน์แก่ใครเลย ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจหรือทางการเมือง แม้แต่กับจีน หรือพี่ไทยเองก็เถอะ และเอาเข้าจริงแม้ประชาชนชาวพม่าจะถูกปราบปรามอย่างหนัก แต่ดูยังไงก็ยากที่ฝ่ายกองทัพพม่าจะมีชัยได้ในท้ายที่สุด

สิ่งหนึ่งที่ผมขอแสดงความชื่นชมและคารวะมา ณ ที่นี้ คือจิตใจอันแน่วแน่ของประชาชนชาวพม่าในการต่อสู้อย่างกล้าหาญทระนงกับเหล่าอำนาจอยุติธรรมที่ชั่วร้ายอำมหิต

หันมาดูประเทศไทยเมื่อแปดปีที่แล้ว ที่เรามีประชาชนไม่น้อยที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งอันชอบธรรมของคนส่วนใหญ่ และนำไปสู่การทำรัฐประหารโดยทหาร ที่ยังต่อท่ออำนาจ แฝงร่างมาบริหารบ้านเมืองจนวินาศวายวอดมาจนถึงทุกวันนี้

ในแง่หนึ่งทั้งพม่าและไทยเป็นคู่รักคู่แค้นกันมานาน ที่มีอะไรทั้งคล้ายและต่าง แม้ว่าไทยอาจโชคดีกว่าที่การปราบปรามประชาชนไม่ได้เป็นอย่างรุนแรง ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายมากเท่า และบ้านเรายังอาจชนะเผด็จการได้ในที่สุดตามกระบวนการทางประชาธิปไตย  ในขณะที่ชาวพม่าน่าจะต้องมีการสูญเสียมากกว่ามากในการเอาชนะฝ่ายกองทัพ แต่ในความโชคดีของไทยนั้น ก็มีความโชคร้ายที่ประชาชนของเราไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นพม่า

อย่าว่าแต่มีทั้งฝ่ายต่อต้านและที่ยังหลับตาเชียร์เผด็จการทหารอยู่เลย ทุกวันนี้บางทีก็เห็นฝ่ายประชาธิปไตยบ้านเรา จะแดงจะส้ม ก็หันหน้ามาตั้งป้อมด่ากันเอง มากกว่าด่าเผด็จการเสียอีก

ดูๆไปพม่ากับไทยก็เหมือนประเทศคู่กรรม ไม่รู้ว่าใครจะเอาชนะเผด็จการได้ก่อนกัน แต่ก็เอาใจช่วยทั้งคู่ และเชื่อมั่นว่าประชาชนของทั้งสองประเทศจะได้รับชัยชนะในที่สุดครับ