สำนักข่าวซินหัวรายงานจากเมืองเทียนจิน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ว่าผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์เทียนจินของจีน พบว่าการดื่มกาแฟ หรือชา หรือการดื่มทั้งสองอย่าง อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) และภาวะสมองเสื่อม (dementia)


คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยการแพทย์เทียนจินของจีน ใช้ข้อมูลจากยูเค ไบโอแบงก์ (UK Biobank) ฐานข้อมูลชีวการแพทย์และทรัพยากรการวิจัยของสหราชอาณาจักร เพื่อศึกษาผู้เข้าร่วมการสำรวจอายุ 50-74 ปี จำนวน 365,682 คน ซึ่งรายงานว่า ตนมีพฤติกรรมการดื่มกาแฟและชา โดยการติดตามผลระยะเฉลี่ย 11.4 ปี สำหรับโรคระยะแรกเริ่ม พบว่าผู้เข้าร่วมจำนวน 5,079 คน มีภาวะสมองเสื่อม และผู้เข้าร่วม 10,053 คน เคยมีอาการหลอดเลือดสมองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง


ผลการศึกษานี้ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารพีแอลโอเอส เมดิซิน (PLOS Medicine) พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้ว หรือชา 3-5 แก้วทุกวัน หรือดื่มทั้งกาแฟและชา 4-6 แก้ว มีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มทั้งกาแฟและชา กลุ่มผู้ดื่มกาแฟ 2-3 แก้ว และดื่มชา 2-3 แก้ว ในทุกวัน มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ต่ำกว่าถึงร้อยละ 32 และมีความเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อม ต่ำกว่าร้อยละ 28


ขณะเดียวกัน ผลการศึกษายังชี้ว่า ความเสี่ยงที่จะมีภาวะสมองเสื่อมหลังจากเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งลดต่ำลงนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว หรือดื่มกาแฟร่วมกับชา


คณะนักวิจัยยังประเมินความเชื่อมโยงของประเภทของกาแฟกับโรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองเสื่อม โดยจากการศึกษากาแฟบด การแฟสำเร็จรูป และกาแฟไม่มีกาเฟอีน พบว่าผู้ดื่มกาแฟบดเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่ลดลงอย่างมากในการเกิดภาวะสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมอง


อนึ่ง กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ขณะที่ชามีกาเฟอีนและคาเทชิน (catechin) ซึ่งมีคุณสมบัติปกป้องระบบประสาท เช่น มีฤทธิ์ต้านความเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน และฤทธิ์ต้านการอักเสบ.

ข้อมูล : XINHUA