สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ว่า เกี่ยวกับการที่กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ระดมยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมาย คือสถานกงสุลใหญ่สหรัฐ ในเมืองเออร์บิล เมืองเอกของเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ในภาคเหนือของอิรัก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยรายงานของไออาร์จีซี ระบุว่า “เป็นฐานทัพลับของขบวนการไซออนิสต์” หมายถึงอิสราเอล และเพื่อตอบโต้การที่กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) โจมตีทางอากาศในซีเรีย สังหารเจ้าหน้าที่ไออาร์จีซีอย่างน้อย 2 นายนั้น


นายซาอีด คาทิบซาเดห์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน แถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าการที่หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความใกล้ชิดกับอิหร่านมายาวนาน กลายเป็น “แหล่งรวมภัยคุกคาม” สำหรับอิหร่าน เป็นเรื่องที่รัฐบาลเตหะรานไม่สามารถรับได้ หนึ่งในนั้นคือการที่อิรักปล่อยให้อิสราเอลเข้ามาใช้พื้นที่ในอิรัก “สร้างปัญหาด้านความมั่นคง” ให้กระทบถึงรัฐบาลเตหะราน ที่รวมถึงการสนับสนุน “กลุ่มก่อการร้าย” ในเคอร์ดิสถาน


นอกจากนี้ คาทิบซาเดห์ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้ส่ง “เคเบิล” หรือข้อความทางการทูต เตือนรัฐบาลแบกแดดในเรื่องนี้แล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเตหะรานปฏิเสธให้ความเห็นต่อคำวิจารณ์ของอิรัก ว่าอิหร่าน “ละเมิดอธิปไตย” และการที่สหรัฐออกมาประณามเหตุการณ์นี้ ส่วนรัฐบาลอิสราเอลยังคงไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ


อนึ่ง เหตุการณ์ที่เมืองเออร์บิลเกิดขึ้น ในขณะที่ทุกภาคส่วนอยู่ในระยะสุดท้ายของการเจรจา ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายรอบที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์ ฉบับปี 2558 ที่สหรัฐถอนตัวออกเอง เมื่อปี 2561 และกลับมาคว่ำบาตรอิหร่าน ทำให้รัฐบาลเตหะรานโต้ตอบด้วยการเดินหน้าเสริมสมรรถนะยูเรเนียม.

เครดิตภาพ : REUTERS