นฤเบศวร์ ถนิมพาสน์ ผู้สื่อข่าวกีฬาเดลินิวส์ รายงานข่าวกีฬาโอลิมปิก 2020 “โตเกียวเกมส์” จากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น  ล่าสุด เมื่อ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีพิธีเปิดการแข่งขัน ขึ้นอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นักกีฬาทีมชาติไทย เริ่มลงสู่สนามแข่งขัน

            โตเกียวเกมส์เปิดฉากยิ่งใหญ่

เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่สนามกีฬาแห่งชาติใหม่ญี่ปุ่น หรือ โอลิมปิก สเตเดี้ยม ในย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น  เวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น  มีพิธีเปิดการแข่งขันกีฬา โอลิมปิกเกมส์ “โตเกียว 2020” โดยมี สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เสด็จร่วมพิธีเปิด และมีผู้แทนรัฐบาลไทยเป็น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วม

ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย มี “แซม”  เศวต เศรษฐาภรณ์ นักกีฬายิงเป้าบิน และ  “เอิน” ณภัสวรรณ หย่างไพบูลย์ นักกีฬายิงปืน ถือธงนำพาเหรดนักกีฬา ซึ่งมีเพียง 9 คนร่วมขบวน ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ประกอบด้วย กชกร วรสีหะ นักกีฬายูโด, สุธาสินี เสวตรบุตร นักกีฬาเทเบิลเทนนิส,  เจนจิรา ศรีสอาด นวพรรษ วงค์เจริญ นักว่ายน้ำ, ศิวกร วงศ์พิณ และ นวมินทร์ ดีน้อย นักกีฬาเรือกรรเชียง และ อาริย์ณัฎฐา ชวตานนท์,  วีรภัฏ ปิฏกานนท์, กรธวัช สำราญ นักกีฬาขี่ม้า รวมกับ เจ้าหน้าที่อีกจำนวน 6 คน เดินพาเหรดเข้าสู่สนามเป็นชาติที่ 102 จาก 206 ประเทศ ในเวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาไทย ต่อจากหมู่เกาะโซโลมอน โดยมี กรีซ เดินเป็นชาติแรก ต่อด้วยทีมนักกีฬาผู้ลี้ภัย จากนั้นจะเดินเรียงลำดับตามตัวอักษรญี่ปุ่น โดยมี “เจ้าภาพ” เข้าสู่สนามเป็นชาติสุดท้าย

การแสดงในพิธีเปิด นำเสนอ “United by Emotion” หรือ “รวมกันเป็นหนึ่งเดียว” รวมทั้งสีสันวัฒนธรรม อุตสาหกรรม “มังงะ” หรือ การ์ตูนญี่ปุ่น และ เกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ผ่านตัวละคร อย่าง ซูเปอร์ มาริโอ, เฮลโล คิตตี้, โดราเอมอน, กัปตันซึบาสะ และนำเสนอถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยของประเทศญี่ปุ่น “มูฟวิ่ง ฟอร์เวิร์ด” ผ่านสัญลักษณ์ รถยนต์บินได้ด้วย “ไฮโดรเจน” ซึ่งจะเป็นพลังงานสะอาดสำหรับโลกยุคหน้า รวมทั้งการนำเสนอเรื่องราวการพลิกฟื้นประเทศหลังภัยพิบัติต่างๆ ทั้งสึนามิ และ แผ่นดินไหว ที่บ่งชี้ว่า ประเทศไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ  พร้อมกันนี้มีการบินผาดโผนของเครื่องบินรบจากกองกำลังป้องกันตนเอง

ชม-เชียร์ 2 จอมเตะชิงทอง

สำหรับไฮไลต์สำคัญคือการลงชิงเหรียญทอง เหรียญแรกของทัพกีฬาไทย จากกีฬาเทควันโด ซึ่งแข่งวันเดียวจบ ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิงเหรียญทองง ในวันที่ 24 ก.ค.นี้  “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ อันดับ 1 ของโลก รุ่น 49 กก.หญิง ความหวังสูงสุดของทัพไทย และ “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี จอมเตะหนุ่มรุ่น 58 กก. ลงทำศึก มีการถ่ายทอดสด 2 ช่อง คือ GMM 25 และ JKN 18 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. (เวลาไทย) เป็นต้นไป หากผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ จะแข่งขันในเวลาประมาณ 19.30 น. ล่าสุดเมื่อ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้ง “เทนนิส”พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ และ “จูเนียร์”รามณรงค์ เสวกวิหารี พร้อมด้วย “เสี่ยบิ๊ก”ธนฑิตย์ รักตะบุตร ผู้จัดการทีม และ โค้ช เช ยอง ซอก ได้นำนักกีฬาไปชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน 1 วัน ซึ่ง ปรากฏว่า ทั้ง เทนนิส และ จูเนียร์ ชั่งผ่านพิกัดของตัวเองสบาย โดย พาณิภัค หนัก 48.7 กก. และรามณรงค์  57.5 กก. ซึ่งทั้งคู่ต่ำกว่าพิกัดเล็กน้อย 

“จูเนียร์” เจอของสูง 1.91 ม.

หลังชั่ง มร.เช ยอง ซอก กล่าวว่า การชั่งน้ำหนักก็ผ่านไปด้วยดี นักกีฬาสามารถกินอาหารได้เต็มที่ เหลือแค่เพียงการแข่งขัน ซึ่งในช่วงบ่ายได้หาที่ฝึกซ้อมเบาๆ ทบทวนเทคนิคการต่อสู้ สำหรับสายการแข่งขัน ในรุ่นของ จูเนียร์ รอบแรก เจอ ออสเตรเลีย ซึ่งฝีมือไม่ธรรมดา เขาเคยแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 3 ครั้งรวมครั้งนี้ โดยมีข้อดีคือรูปร่างสูงถึง 191 ซม.เทียบกับ จูเนียร์ ต่างกันมาก แต่ถึงอย่างไร น้ำหนักเท่ากัน เราศึกษาเขามาว่าเล่นอย่างไรถึงจะดีที่สุด และสิ่งที่สำคัญ จูเนียร์ ถ้ามั่นใจก็มีโอกาส เพราะเทคนิค ความคล่องตัวเราดีกว่าเขา

“โค้ชเช” มั่นใจไมน่าพลาด

“โค้ชเช” กล่าวต่อว่า  ส่วน “น้องเทนนิส” เป็นเบอร์ 1 โลก ซึ่งในรุ่นนี้อันดับ 16 กับ 17 ต้องเตะกันก่อน ใครชนะจะเจอกับ ”น้องเทนนิส” คือการพบกัน ระหว่าง อิสราเอล กับ เปอร์โตริโก ตนมองว่าน่าจะเป็น อิสราเอล และได้ศึกษาการเล่นของเขามาน่าจะชนะได้ ส่วนรอบสอง เทนนิส น่าเจอเวียดนาม ซึ่งเป็นเจ้าของเหรียญทองชิงแชมป์เอเชีย ที่เราเคยเอาชนะมาได้ ไม่น่ามีปัญหา จากนั้นรอบรองชนะเลิศ โอกาสจะได้เจอระหว่าง ไต้หวัน กับเกาหลีใต้  มองว่าน่าจะเป็นไต้หวันมากกว่า ซึ่งเป็นใครก็ต้องศึกษาอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เรื่องเทคนิค ความพร้อมของ “น้องเทนนิส” นั้น พร้อม 100% สภาพจิตใจเต็มที่ ไม่ตื่นเต้น ตนพูดตลอดว่า ครั้งนี้อย่าคิดว่าเป็นโอลิมปิก ให้คิดว่าเป็นการแข่งรายการระดับกรังด์ปรีซ์ หรือเทสต์อีเวนต์ และยิ่งดีไม่มีคนดูด้วย ทำให้เงียบ ไม่กดดัน ย้ำทั้งสองคน “เทนนิส-จูเนียร์” ให้เข้าใจ และดีขึ้น ตนเชื่อในทั้ง 2 คน เต็มที่

ส่วนที่ สื่อต่างชาติยกให้เกาหลีใต้ เป็นเต็งเหรียญทอง โค้ชเช กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราเคยเตะกันมา 4-5 ครั้ง เราชนะมาได้หมด แต่กีฬาต่อสู้ มีแพ้ มีชนะ ซึ่งสไตล์การต่อสู้เราดีกว่าเยอะช  ส่วนตัวแล้วที่เป็นห่วงคือเจอไต้หวัน เพราะเขาเป็นนักกีฬารุ่น 53 กก. เคยได้เหรียญทองแดง เอเชี่ยนเกมส์  ลดน้ำหนักลงมาแข่ง เราไม่เคยเจอ แต่ก็ยังมั่นใจ เรารอนานมาก รอ 1 ปีกว่า ขอให้คนไทยเชียร์กันดังๆ เราสู้ จะทำผลงานให้ดีที่สุด 

ผจก.ทีมชี้เตรียมสู่ฝันที่รอ

“เสี่ยบิ๊ก” ผู้จัดการทีมเทควันโดไทย เปิดเผยว่า มาถึงตรงนี้ คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว เราเก็บตัวฝึกซ้อมกันมานาน เพื่อโอลิมปิกเกมส์ ครั้งนี้ ที่ผ่านมา ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโด ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่หนักมาก ทำให้ต้องเปลี่ยนที่ฝึกซ้อม นายกก็ลงทุนไปดูแลด้วยตัวเอง ภรรยานายกต้องตื่นแต่เช้าทำอาหารให้นักกีฬาและโค้ชได้กินกันทุกวัน และการเดินทางยังอัพที่นั่งบนเครื่องบินให้เป็นบิสซิเนสคลาส เพื่อลดความเสี่ยงติดโควิด ซึ่งทุกคนทำงานหนักเพื่อเป้าหมาย เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ที่เรารอคอย และก็หวังว่าในวันแข่งขันเราจะก้าวสู่ความสำเร็จกับสิ่งที่รอคอย

 “บิ้กต้อม” มั่นใจเทนนิสทำได้           

“บิ๊กต้อม” นายธนา ไชยประสิทธิ์ หัวหน้าคณะนักกีฬาไทยชุดสู้ศึกโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 กล่าวถึงการชิงชัยเหรียญทองของทัพนักกีฬาไทยในวันแรก คือวันที่ 24 ก.ค.นี้ ที่ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ความหวังของไทยที่จะลงแข่งขันในรุ่นน้ำหนัก 49 กก.หญิงว่า จากการได้เจอ พาณิภัค ยังมีความมุ่งมั่น โฟกัสอยู่ที่การแข่งขันอย่างเต็มที่ และมีความมั่นใจในฟอร์มและความสามารถของตัวเองที่ได้มีการฝึกซ้อมและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ไม่กังวลในเรื่องความพร้อมของพาณิภัคเพราะเท่าที่ได้คุยกัน เทนนิสก็มีความมุ่งมั่นมาก ทีมงานต่าง ๆ ก็ไม่อยากไปสร้างความกดดัน หรือเพิ่มความเครียดให้ อยากให้น้องลงแข่งขันด้วยความสบายใจที่สุด แต่สิ่งที่ทีมงานของตนจะต้องเตรียมตัวคือการดูแลน้องเทนนิส ที่สนาม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินต่างๆ และทีมแพทย์ เพราะเทควันโดนักกีฬาจะไปแข่งขันที่สนามตลอดทั้งวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนเกือบ 4 ทุ่ม ไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะฉะนั้นจึงได้วางแผนจัดเตรียมคนส่งอาหารและสิ่งจำเป็นในการแข่งขันไปให้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน นอกจากนั้น ก็จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รวมถึงท่านเอกอัครราชทูตฯ ไปร่วมให้กำลังใจด้วย

กำปั้นไทยประกาศสู้สุดใจ

ด้านมวยสากลสมัครเล่น อีกความหวังของทัพกีฬาไทย มีนักชกไทยขึ้นสังเวียนชกในรอบแรก หรือรอบ 32 คน สุดท้าย ที่สนามแข่งขันโกกุคิกัง อารีนา ในวันที่ 24 ก.ค.นี้อีก 2 คน ได้แก่ รุ่นเฟเธอร์เวต (57 กก.) ชาย “เจ้าสด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี  นักชกจอมเก๋าวัย 36 ปี ที่มาทำศึกในกีฬาโอลิมปิก เป็นครั้งที่ 3 ขึ้นชกรอบแรกพบปีเตอร์ เบอร์นาร์ด แม็กเกล แชมป์กีฬาเครือจักรภพ จากสหราชอาณาจักร และเหรียญทองแดงมวยสากลสมัครเล่นโลก 2019  เวลา18.00 น. และมวยหญิงรุ่นเวลเตอร์เวต (69 กก.) “น้องครีม” ใบสน มณีก้อน ชกรอบแรกกับ ซาดัท ดัลกาโตว่า จากรัสเซีย  ดีกรีเหรียญทองแดงมวยหญิงโลก 2018 เวลา11.48 น. ทาง “โค้ชแซม” กามนิตย์ นารีรักษ์ เปิดเผยว่า ถึงตอนนี้ทีมกำปั้นไทยทั้ง 4 คน พร้อมเต็มที่ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ไม่มีอะไรต้องห่วง ทุกคนประกาศสู้สุดใจ สู้เต็มที่เพื่อประเทศชาติ บอกได้เลยมวยโอลิมปิกเกมส์หนนี้มีเซอร์ไพร้ส์

ชี้ผ่านด่านแรกได้มีลุ้นเหรียญ

ขณะที่ “บิ๊กชาย” นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่านเทคนิคสมาคมกีฬามวยสากลฯ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม คุมทัพนักชกไทยมาทำศึกครั้งนี้ เปิดเผยว่า สำหรับ 4 นักชกไทย แม้จับสลากแบ่งสาย และประกบคู่การแข่งขัน ไม่ได้บายในรอบแรก แต่ผลการจับสลากแบ่งสาย ถือว่าออกมาดี เนื่องจากตัวเก่ง ๆ ไปอยู่คนละสายกับนักชกไทย ทำให้มีโอกาสเข้ารอบลึก ๆ คว้าเหรียญเพิ่มขึ้น

รมต.กีฬาเชียร์ถึงขอบสนาม

ด้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เดินทางมาร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน  เปิดเผยว่า ตนเองจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 25 ก.ค.นี้ แต่ในระหว่างอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะไปเชียร์ ให้กำลังใจนักกีฬาไทยให้มากที่สุดจนถึงวันที่ 25 ก.ค.นี้ ไม่ว่าจะเป็นมวยสากล, แบดมินตัน, เทควันโด หรือยิงปืนที่แข่งในช่วงนี้ มั่นใจว่าโอลิมปิกครั้งนี้ ทัพกีฬาไทยมีเหรียญทองแน่อน