จากกรณีเพจดังได้โพสต์กรณีมีหญิงสาวรายหนึ่งร้องเรียนว่า ถูกกลุ่มชายอ้างว่าตำรวจไซเบอร์ล่อซื้อจับกุมข้อหาค้าประเวณี เรียกเงิน 50,000 บาทแลกกับการปล่อยตัว เมื่อไม่มีเงินจ่าย ให้เอารถหญิงสาวรายนี้ไปจำนำกับตำรวจอีกคน อ้างว่าถ้าขึ้นศาลต้องโดนอายัดรถ เพราะรถใช้ในการกระทำความผิด ให้เซ็นสัญญาผ่อนเดือนละ 5,000 บาท หญิงรายนี้เห็นว่ารถยังผ่อนไฟแนนซ์อยู่ จึงได้ไปหาเงินกู้มาให้แก๊งดังกล่าวจนครบตามจำนวนและรับรถคืนกลับมา ต่อมากลุ่มชายชุดเดิมบุกรุกมาที่บ้านตั้งใจมาไถเงินอีก หญิงสาวคนดังกล่าวได้ถ่ายรูปเอาไว้ ก่อนถูกข่มขู่ให้รอหมายจับและกลับออกไป หญิงสาวรายนี้จึงร้องเรียนให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง ในเรื่องที่ถูกแก๊งอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รีดไถเงินและโทรศัพท์ข่มขู่ โดยขอให้ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดย พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวว่า เรื่องนี้ได้พบเห็นในสื่อโซเชียลจึงให้มีการตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่า มีการจับกุมจริง เมื่อต้นเดือน ต.ค. 64 ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยให้ สภ.ถลาง เขียนรายงานชี้แจงมาเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อ พอทราบเรื่องแล้วว่า มีการจับกุมจริง มีบันทึกการจับกุม มีเลขคดีแล้ว กำลังดูว่าใครเป็นคนจับกุมกันแน่ หน่วยไหนเป็นคนจับกุม ได้สั่งให้ตรวจสอบ ส่วนการปฏิบัติตัวของตำรวจในการเข้าไปหาผู้เสียหายนั้น ตำรวจต้องแสดงตนอยู่แล้วว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาจากที่ไหน มาเพื่ออะไร แต่ทางที่ดีขอให้ผู้เสียหายเข้ามาพบตนได้โดยตรง หรือจะไปพบกับ ผกก.สภ.ถลาง ก็ได้ จะได้เรื่องที่ตรงและชัดเจนในการแก้ปัญหา

คืบหน้าเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) สาวไซด์ไลน์ เหยื่อกลุ่มคนหัวเกรียน โดยเปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 13 ต.ค. 64 มีผู้ชายคนหนึ่งมาติดต่อขอซื้อบริการกับตน ซึ่งได้ตอบตกลงและนัดกันไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในภูเก็ต พอไปถึงตนก็เจอกับผู้ชายคนดังกล่าว โดยตกลงในราคา 1,500 บาทเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ผู้ชายคนดังกล่าวก็ตกลงและยอมจ่ายเงินเรียบร้อย ผ่านไปสักครู่มีเสียงคนเคาะประตู ตนยังไม่ได้เดินไปเปิด แต่ลูกค้าเดินไปเปิดประตูเองพร้อมกับดับไฟในห้อง ตนตกใจมากเห็นชายฉกรรจ์ประมาณ 7 คนกรูเข้ามาในห้อง โดยมีชายแต่งกายเครื่องแบบตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้เต็มยศหนึ่งนาย ที่เหลือแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ซึ่งขณะนั้นตนก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นตำรวจทั้งหมดหรือไม่ แต่ทั้งหมดได้อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไซเบอร์ มากับผู้กองคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวเต็มยศเป็นผู้นำจับตน

ตอนนั้นตนสวมผ้าขนหนูอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวได้เข้ามาเปิดไฟและบันทึกภาพ จากนั้นให้ตนใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะจับตนใส่กุญแจมือ จากนั้นทั้งหมดก็เข้ามายึดกระเป๋าของตนพร้อมกับตรวจค้นภายในกระเป๋าพบเงินสด 1,500 บาทและหนึ่งในจำนวนผู้ตรวจค้นนำเงินมาใส่ในกระเป๋าของตนอีก 2,000 บาท ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเงินค่าอะไร จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกลุ่มได้แจ้งว่าผู้ชายที่ติดต่อตนมานั้นเป็นสายเพื่อที่จะมาล่อซื้อตนในข้อหาค้าประเวณี หลังจากนั้นยังยึดกุญแจรถของตนเอาไว้ ก่อนที่จะไปทำการรื้อค้นรถ ซึ่งภายในรถมีปืนบีบีกัน 1 กระบอก กับมีดดาบของแฟนหนุ่มตนอีก 1 เล่ม

จากนั้นจะนำตัวตนมาที่ สภ.ถลาง ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 6 กิโลเมตร โดยมีหนึ่งในชุดจับกุมเข้ามากระซิบข้างหูตนว่ามีเงินเท่าไหร่ก็บอกผู้กองไป ตนยกมือไหว้พร้อมกับบอกว่าตอนนี้ไม่มีเงินเลย จากนั้นผู้กองมาบอกกับตนว่าอันนั้นมันเป็นเรื่องของตน มีงานตั้งเยอะแยะทำไมไม่ทำ ตนจึงบอกผู้กองไปว่าถ้างานปกติมันมีเงินเยอะตนก็อยากจะทำ แต่ตอนนี้ตนเดือดร้อนหนักต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงแม่ที่อายุมากแล้ว ทุกอย่างเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงของตนเจ้าที่เขาไม่ฟังตนเลย ตนอ้อนวอนเท่าไหร่พูดอย่างไรไม่มีใครฟัง

จากนั้นก็เข้ามาบอกตนว่า 20,000 หาได้หรือไม่ ตนบอกว่าไม่ได้ ไม่มีเงิน ต่อมามีเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ซึ่งตนเห็นชัดเจนว่าเขาตัวอ้วนกว่าทุกคน แนะนำตนว่ามีคนรับจำนำรถ ถ้าตนจะให้นำรถยนต์ไปจำนำ เจ้าหน้าที่คนอ้วนบอกว่าเขาจะดำเนินการให้เลยเดี๋ยวนี้ และเจ้าหน้าที่คนอ้วนก็โทรศัพท์ติดต่อให้คนรับจำนำรถเข้ามาหาตน พร้อมกับเอกสารการกู้เงิน 50,000 บาท ทั้งที่ทีแรกบอกตนว่า 20,000 แต่ทำไมกลายเป็น 50,000 ตนไม่ทราบว่าจะทำยังไง สัญญาเขียนแล้วก็ต้องจำยอม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ปล่อยตน พร้อมกับขับรถของตนมาส่งตนถึงที่บ้าน หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายไป ตนไม่ได้ขึ้นศาลไม่มีการเสียค่าปรับ ทราบจากเพื่อนที่กรุงเทพฯ ว่าทำงานแบบนี้ถ้าเสียค่าปรับก็แค่ 500 บาทเท่านั้น แต่ที่ภูเก็ตทำไมต้องเสีย 50,000 บาท ตอนนี้ยังทำงานเพื่อที่จะหาเงินใช้หนี้ที่กู้มาถ่ายรถคืนอยู่เลย

ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะปกติ เพราะเมื่อ 4 วันก่อนที่ผ่านมา (25 มี.ค.) มีเจ้าหน้าที่ซึ่งจำได้ว่าเป็นคนเดิมเข้ามาหาตนที่บ้าน แต่ไม่ได้พูดอะไรกับตน พยายามดึงมือตนขึ้นรถ แต่ตนกระชากมือกลับแล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นยังข่มขู่แม่ของตนว่าให้ระวังตัวไว้นะ ตำรวจจะออกหมายจับ พร้อมหันมาพูดกับตนว่าให้รอหมายจับ ในความรู้สึกของตนตอนนี้คิดว่าตำรวจเรียกเงินไป 50,000 บาทแล้วและยังจะมาเอาอีก โดยการโชว์คลิปที่ตนเป็นวีเจ ซึ่งตนได้ปรึกษารุ่นพี่แล้วว่าการทำแบบตนนี้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ทำไมยังเข้ามาคุกคามรีดเงินจากตนอีก ตนจึงตัดสินใจเข้าพบสื่อเพื่อขอความเป็นธรรมและพร้อมเปิดโปงพฤติกรรมของแก๊งนี้.