เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. …. แถลงว่า กมธ.ได้มีการประชุม จำนวน 6 ครั้ง และได้มีความเห็นร่วมกันโดยมีการเสนอข้อสังเกต ดังนี้ 1. คณะกรรมาธิการร่วมกันเห็นควรให้แก้ไขเหตุผลของร่าง พ.ร.บ. ดังนี้ “โดยที่ได้มีการยกเลิกการกำหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประชาชนจึงสามารถครอบครอง บริโภค และใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้ ประกอบกับเป็นพืชที่มีมูลค่าในทางเศรษฐกิจ จึงสมควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาพืชกระท่อมให้เป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งกำหนดมาตรการกำกับดูแลเฉพาะการนำเข้าหรือการส่งออก กระท่อมเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประชาชนมากที่สุด และโดยที่การบริโภคใบกระท่อมมากเกินสมควรอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค สมควรกำหนดมาตรการกำกับดูแลการขาย การโฆษณา และการบริโภคใบกระท่อม เพื่อคุ้มครองสุขภาพของบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรและบุคคลกลุ่มเสี่ยงอื่นจากการบริโภคใบกระท่อม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”
นายชูวิทย์ กล่าวว่า 2. รัฐควรสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพืชกระท่อมในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติทาง ประโยชน์ทางการแพทย์และผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบในระยะยาวที่เกิดจากการบริโภคใบกระท่อม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้มีความเหมาะสม ยิ่งขึ้นต่อไป 3. รัฐพึงสนับสนุนให้มีการใช้ใบกระท่อมตามวิถีชุมชนและการใช้ประโยชน์จากใบกระท่อมทางยาหรือทางการแพทย์ แต่ต้องไม่เป็นการสนับสนุนให้เกิดผู้ใช้รายใหม่ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการใช้ใบกระท่อมในทางที่ไม่เหมาะสม
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า 4. รัฐพึงสนับสนุนให้ประชาชนระดับรากหญ้าได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่และยั่งยืนจากพืชกระท่อม สนับสนุนการส่งออกพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ไม่ควรให้มีแต่เฉพาะผู้ค้ารายใหญ่ที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดจากพืชกระท่อม รวมถึงการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการผูกขาดการเพาะหรือปลูกพืชกระท่อม การขาย และการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม 5. รัฐควรมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้เพาะปลูกพืชกระท่อม ผู้ค้าใบกระท่อม และอุตสาหกรรมพืชกระท่อมในประเทศ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปีแรก เพื่อเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรไทย และผู้ผลิตรายย่อยภายในประเทศ ให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป.