เมื่อวันที่ 25 เม.ย. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยระบุข้อความว่า “เก็บไว้เป็นข้อมูล ตัวเลขจำนวนการตายเมื่อวานนี้ อันดับ 2 เป็นรองเพียงรัสเซีย

ส่วนเช้านี้เพิ่งรายงานมาไม่กี่ประเทศ ตอนนี้ยังเป็นอันดับ 1 อยู่ ยังตัดสินไม่ได้ ต้องรอถึงเช้าพรุ่งนี้ ในขณะที่ตัวเลขติดเชื้อสะสมนั้น หากรวม ATK ด้วย เราจะทะลุ 6 ล้านไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน ดังนั้นจึงควรป้องกันตัวเสมอ ระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก”

นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า “25 เมษายน 2565 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 399,920 คน ตายเพิ่ม 977 คน รวมแล้วติดไปรวม 509,468,125 คน เสียชีวิตรวม 6,242,888 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 82.19 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 81.78 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 40.14 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 42.57

สถานการณ์ระบาดของไทย เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 30.28% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย (เกือบหนึ่งในสามของเอเชีย) จำนวนการเสียชีวิตของไทยต่อประชากร 1,000,000 คน

จากข้อมูลของ Ourworldindata ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันอัตราส่วนของจำนวนคนเสียชีวิตต่อประชากรล้านคนของไทยนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกมาตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่สองของมีนาคมเป็นต้นมา และสูงกว่าทวีปอเมริกาเหนือมาตั้งแต่ช่วงต้นเมษายนที่ผ่านมา

หากพิจารณาดูในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง (upper middle income) ที่ไทยอยู่ในกลุ่มนี้ จะพบว่าอัตราส่วนของจำนวนคนเสียชีวิตต่อประชากรล้านคนของไทยนั้นก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอย่างมาก ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่สองของมีนาคมจนถึงปัจจุบัน

โควิด ไม่กระจอก ไม่ใช่หวัดธรรมดา คำว่าเพียงพอ เอาอยู่นั้น จริงหรือไม่ มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรมให้เห็น พอเหอะ พอเสียที พอกันที ไม่ควรหลงไปกับคารมด้อยค่าโรค สู้ศึกกับไวรัสต้องเน้นความปลอดภัย ลดความเสี่ยง ไม่ประมาท ดังนั้นในยามที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความเสี่ยงในการใช้ชีวิตจะมากขึ้น โดยสถานการณ์ระบาดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเน้นย้ำให้ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์จริง และใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท ป้องกันตัวเสมอ

ใส่หน้ากากเสมอ ขณะทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียน หรืออื่นๆ โควิด ไม่จบแค่หายหรือตาย แต่ Long COVID คือปัญหาระยะยาวที่จะบั่นทอนสมรรถนะการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน และเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด”..

ขอบคุณภาพประกอบ : Thira Woratanarat