สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ว่ากระทรวงเกษตรของอินโดนีเซียออกแถลงการณ์ ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการระงับส่งออกน้ำมันปาล์ม ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. นี้ ว่าไม่รวมน้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันปาล์มอาร์บีดี แต่ครอบคลุมน้ำมันปาล์มเชิงพาณิชย์ ทั้งน้ำมันปาล์มโอเลอีน และน้ำมันปาล์มมัว หรือ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์


ขณะที่สัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มล่วงหน้าของตลาดมาเลเซียปรับตัวลดลง 2.09% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังอินโดนีเซียยืนยัน ว่ามีผลกับเฉพาะน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ หลังราคาเคยพุ่งทะยานเกือบ 7% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สะท้อนความวิตกกังวลอย่างหนักในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่ามาตรการระงับส่งออกจะกระทบกับน้ำมันปาล์มดิบ


ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด กล่าวว่า มาตรการระงับส่งออกน้ำมันปาล์มจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดภายในประเทศ ท่ามกลางภาวะราคาอาหารเฟ้อซึ่งพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน


ด้านนางศรี มุลยานี อินทราวตี รมว.การคลังของอินโดนีเซีย กล่าวย้ำเรื่องนี้ว่า “มีความจำเป็น” เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาอาหารในประเทศก่อน และยอมรับว่า เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดโลก แต่อินโดนีเซียจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และจะหาทางดำเนินการเพื่อให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด


ปัจจุบัน อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่อุปสงค์จากนานาประเทศ โดยเฉพาะจีนและอินเดียซึ่งสูงกว่าปกติ ตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้อินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก ไม่สามารถจัดสรรการผลิตและควบคุมการส่งออกได้ทันเวลา และมาตรการควบคุมการอนุมัติใบอนุญาตส่งออกน้ำมันปาล์ม เมื่อเดือน ม.ค. เพิ่งมีการยกเลิก เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา


นอกจากนี้ ไม่เพียงเฉพาะการซื้อขายระดับรัฐต่อรัฐแล้ว บริษัทผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนรายใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เนสท์เล่ ยูนิลีเวอร์ และ พรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) ล้วนเป็นผู้สั่งซื้อน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของอินโดนีเซียเช่นกัน.

เครดิตภาพ : REUTERS