นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือ ปณท เปิดเผยว่า ตามที่มีมติในที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาและเห็นชอบการปรับอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์ ตามร่างกฎกระทรวงกำหนด อัตราไปรษณียากรนั้น ถือเป็นการปรับอัตราค่าบริการครั้งแรกในรอบ 18 ปี ของการดำเนินงานของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นเพียงการขึ้นราคาเฉพาะการส่งจดหมายและเอกสารสำคัญ และจะปรับเฉพาะบริการจดหมายในประเทศเท่านั้น โดยอัตราค่าบริการพิกัดแรก น้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม ซึ่งเป็นพิกัดน้ำหนักที่ประชาชนส่วนใหญ่ ใช้บริการ ยังคงไว้ที่ 3 บาทเช่นเดิม จนถึงปี 67 ส่วนจดหมาย ประเภทหีบห่อ มีอัตราค่าบริการในพิกัดน้ำหนักแรก 30 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 55 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม

หลังจากนั้นในปี 68 จดหมายประเภทซองน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม จะปรับอัตโนมัติเพิ่มเป็น 4 บาท และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 62 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม ส่วนจดหมายประเภทหีบห่อ จะปรับอัตโนมัติโดยมีอัตราค่าบริการในพิกัดน้ำหนักแรก 34 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 62 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม

“เอกสารหรือจดหมายที่มีน้ำหนักเกินจากที่กำหนด จำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจและการแบกรับต้นทุน อย่างไรก็ตามเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ภาคธุรกิจซึ่งฝากส่งเอกสารและจดหมายกับไปรษณีย์ไทยมาอย่างต่อเนื่อง หรือการส่งปริมาณมาก ๆ จะมีการมอบส่วนลดในอัตราพิเศษ”

ดนันท์ สุภัทรพันธุ์

นายดนันท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เพื่อให้การส่งจดหมายและเอกสารสำคัญเกิดประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ไปรษณีย์ไทย ได้พัฒนาบริการรองรับ และเป็นทางเลือก คือ การจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพิ่มช่องทางการส่งเอกสารที่สะดวกรวดเร็วขึ้น การเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับเอกสารสำคัญของหน่วยงาน หรือ องค์กร เพื่อให้สามารถยืนยันได้ว่าเอกสารนั้นเป็นตัวจริง โดยเป็นระบบ ที่มีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน รองรับการจัดการเอกสารในยุคดิจิทัล

“ไปรษณีย์ไทยยังคงเดินหน้า สนับสนุนสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อเปิดทางให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ประกอบการ อีคอมเมิร์ซ และ พัฒนาคุณภาพบริการ อีเอ็มเอส และจัดโปรโมชั่น เพื่อช่วยเซฟค่าส่งได้มากขึ้น รวมถึงการเข้ารับฝากสิ่งของถึงบ้านโดยที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องออกจากบ้าน การพัฒนาระบบดิจิทัลให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันของผู้ค้าขายและประชาชน”