เมื่อวันที่ 27 เม.ย. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย นายศุภชัย คำคุ้ม ผอ.ศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 8 กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายสุพจน์ ภู่รัตนโอภา ผอ.สนง.บริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นายสุรศักดิ์ อนุสรณ์ ผอ.ส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร และเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่ดิน กอ.รมน.ภาค 4 ลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบการบุกรุก ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค หลังพบมีการออกเอกสารสิทธิไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ หลังอุทยานหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตรวจยึดไว้ตั้งแต่ปี 2546 เพื่อเร่งเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และยึดที่ดินคืนมาเป็นของรัฐ

อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า จากการลงตรวจสอบพื้นที่ พบข้อเท็จจริงพื้นที่มีการบุกรุกตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตธารา-หมู่เกาะพี ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค ครอบคลุมพื้นที่กว่า 28,000 ไร่ สำหรับพื้นที่ที่มีการบุกรุกออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ รวม 6 แปลง และต่อมาพบว่าได้มีการแบ่งย่อยออกเป็น 38 แปลง ในเนื้อที่ 125 ไร่ ซึ่งทางดีเอสไอก็จะทำการตรวจสอบร่วมกับกรมอุทยานฯ กอ.รมน.ภาค 4 และนอกจากนี้ยังได้ต่อสายถึงอธิบดีกรมที่ดิน ในการตรวจสอบร่วมกัน

หลังจากนี้ทางกรมที่ดินจะส่งช่างรังวัดจากส่วนกลางเข้ามาดำเนินการตรวจสอบร่วม ในขณะที่ดีเอสไอเองก็จะส่งทีมศูนย์แผนที่ลงมาทำการบินสำรวจด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน เก็บภาพถ่ายทางอากาศ และจะมีการอ่านภาพถ่ายโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะได้คำตอบโดยเร็วว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการบุกรุกป่าอุทยานหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มากน้อยแค่ไหน ซึ่งขณะที่บินสำรวจจะไม่ทำเฉพาะ 125 ไร่ แต่จะทำครอบคลุมทั้ง 2 หมื่นกว่าไร่ และในเบื้องต้นทางดีเอสไอยังไม่รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน และแน่นอนว่าคดีนี้จะเกี่ยวพันกับผู้ที่ออกเอกสารสิทธิ หากพบว่ามีการดำเนินการโดยไม่ชอบก็จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

สำหรับผู้ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันก็จะขึ้นอยู่กับการสอบสวนว่าได้มาอย่างไร รู้หรือไม่ว่าเอกสารออกมาโดยมิชอบ แต่เท่าที่ทราบพื้นที่ที่มีปัญหามีการเปลี่ยนมือกันมาหลายทอด แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะมีการสืบสวนไม่ให้เกิน 6 เดือน และคาดว่าประมาณ 2-3 เดือน น่าจะได้ข้อมูลที่พอจะสรุปคดีได้ หากตรวจสอบพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ก็จะทำเรื่องเสนอให้กรมที่ดินทำการเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และดำเนินการเอาผิดย้อนหลังกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตอนนี้ยังระบุไม่ได้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานไหนบ้างที่เกี่ยวข้อง ส่วนเอกชนที่ถือครองที่ดินในปัจจุบัน เชื่อว่าหลายรายอาจจะไม่ได้รู้เห็นกับการออกเอกสารสิทธิ แต่เข้ามาซื้อและจับจองที่ดิน เพราะเห็นว่าเจ้าของเดิมมีเอกสารสิทธิจึงซื้อมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

โดยคดีนี้ อุทยานหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ได้ตรวจยึดดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าอ่าวนาง-ป่าหางนาค เนื้อที่ 125 ไร่ เมื่อปี 2546 เบื้องต้นพบว่ามีออกเอกสารสิทธิครอบครองเป็น น.ส.3 ก. มีการขอออกโดยใช้เอกสาร สค.1 และมีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยเพื่อขายต่อให้อีกหลายทอดให้กับนักธุรกิจ ดารานักแสดง รวมถึงนักการเมือง เพื่อสร้างที่พักรีสอร์ท ที่ดินอยู่ในทำเลทองติดชายหาด มีการซื้อขายกันไร่ละไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท