หลังจาก “ดูหนังกับหมี” เอาใจคอหนังสยองขวัญรีวิว “kingdom ashin of the north” ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้เวลารีวิวแอ๊คชั่นทริลเลอร์สยองขวัญ Blood Red Sky หรือ ฟ้าสีเลือด ภาพยนตร์สุดสยองจากเยอรมนี ที่มีเนื้อหาเข้มข้น น่าสนใจ ไม่น้อยหน้าหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ การันตีคะแนนความสยองขวัญ อันดับ 1 ของช่อง Netflix ในช่วงปลายเดือน ก.ค. 64 คอหนังสยองขวัญไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เปิดเรื่องมาจากหนังตัวอย่างเราจะเห็น คุณแม่ยังสาว “นาเดีย” (รับบาโดย แพรี บอไมสเตอ) กำลังเดินทางจากเยอรมนีไปนิวยอร์กเพื่อรักษาอาการป่วยบางอย่าง ซึ่งอาการที่ว่าก็คือ ความกระหายเลือดหลังโดน “แวมไพร์” กัด ระหว่างที่เดินทางด้วยเครื่องบิน ปรากฏว่าโดนสลัดอากาศปล้น นำโดยหัวหน้ากลุ่มที่มีชื่อว่า “เบิร์ก” (รับบทโดย โดมินิก เพอร์เซลล์) พวกมันเข้ายึดเครื่องบินแล้วก็จับผู้โดยสารเป็นตัวประกัน ก่อนจะวางแผนนำเครื่องบินบรรทุกระเบิดไปถล่มสหรัฐ ระหว่างนั้น “นาเดีย” ถูกหนึ่งในกลุ่มโจรใช้ปืนยิงใส่จนตาย เพียงเพราะออกตาหาลูกชายบนเครื่อง นั่นทำให้เธอต้องฟื้นคืนชีพกลับมา พร้อมกับใช้ความเป็น “แวมไพร์” เข้าต่อสู้เพื่อปกป้อง “เอเลียส” (รับบทโดย คาร์ล แอนทัน คอช) ลูกชายของเธอ “นาเดีย” จะยังคุมสติเอาชนะปิศาจในตัวเธอ เพื่อช่วยเหลือให้ลูกรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ความลับของแวมไพร์ ว่ากันว่าพวกมันเป็นปีศาจที่ แพ้แสงแดด หรือ ยูวี หรือ แสงอัลตราไวโอเลต อาหารสุดโปรดปรานก็คือ “เลือดมนุษย์” ช่วงเป็นแวมไพร์ระยะเริ่มต้นยังพอจะควบคุมสติได้บ้าง บางคนพยายามใช้ยาเพื่อกดภูมิคุ้มกันตัวเองเพื่อไม่ให้กลายร่างเป็นแวมไพร์ แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลไปตลอด เพราะสุดท้ายหากเพียงได้กลิ่นเลือดเล็กน้อย ความกระหายก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคุมสติไม่ไหว หากเข้าไปกัดเหยื่อแล้วปรากฏว่าเหยื่อไม่ตาย นั่นหมายถึงเชื้อแวมไพร์จะเข้าคุมร่างของเหยื่อให้เป็นแวมไพร์ไปด้วยกัน หากแวมไพร์ได้รับบาดเจ็บก็ยังสามารถเยียวยาตัวเองได้ หรือหากกินเลือดเข้าไปเล็กน้อยก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาล

จุดเด่นของ Blood Red Sky
จะเห็นได้ชัดเจนว่า หนังพยายามปูเรื่องให้ “แม่ลูก” เหมือนดวงซวยมาเจอผู้ก่อการร้าย หรือไม่ก็ ผู้ก่อการร้ายนั่นแหละดันซวยเองที่มาเจอแม่ลูกคู่ แบบในหนัง Flightplan และ Red Eye นั่นก็เพราะทาง “ปีเตอร์ ธอร์วอร์ธ” ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบท ได้แรงบันดาลใจจากหนังผู้ก่อการร้ายยึดเครื่องบินในปี 2005 นั่นเอง

ตัวหนังมีความยาว 2 ชม. มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ลำดับเรื่องราวสลับไปมา เริ่มจากนำช่วงสุดท้ายของหนังมาบอกกับผู้ชมก่อนว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร จากนั้นจึงเล่าย้อนไปยาว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซีนแอ๊คชั่นมีความดุเดือดเลือดสาดกระจาย ยิงเป็นยิงไม่มีขู่ ตัวละครแม่ลูก บอกเลยว่า แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก ตีบทแตกทุกซีน ทั้งยังดึงอารมณ์ความน่าสงสาร ความหดหู่ใจได้แบบสุด ๆ พาร์ทของนักแสดงไม่ว่าจะเป็นตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ บอกเล่นผ่านฉลุย! โดยเฉพาะซีนช่วงที่แม่ต้องกลายร่างกึ่งแวมไพร์กึ่งคน เพราะต้องเล่นถึง 2 อารมณ์ แต่ก็ยังคุมสกิลได้ดีมากอีกด้วย

จุดด้อยของ Blood Red Sky
การให้ตัวละครบางตัว ตายแบบไร้เหตุผล หรือ ยัดเยียดบทให้ตัวละครทำอะไรแผลงแล้วก็เกิดความเสียหายใหญ่หลวง เป็นการจงใจจะดึงอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึก หงุดหงิด หรือ อินไปกับความเวิ่นเว้อ โอเวอร์ของตัวละครนั้น ๆ เป็นทริคเดิม ๆ ของหนังสยองขวัญเก่า ๆ ที่สามารถเดาทางได้ไม่ยาก เพื่อทำให้หนังดูยืดยาวออกไป

จริงๆ แล้วพาร์ทของการติดเชื้อแวมไพร์ ควรจะมีความหลากหลายกว่านี้ แต่ก็ยังโดนปรับบทให้ขาด ๆ เกิน ๆ เช่น บางช่วงควรจะฆ่าก็ไม่ฆ่า บางช่วงควรจะเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว กลับปล่อยไปซะดื้อ ๆ จึงทำให้เกิดความไม่สมเหตุในหลายมุมมอง ยิ่งกลางเรื่องมีการเล่าย้อนไปถึงสาเหตุของการติดเชื้อ แต่ก็ยังเล่าไม่หมดเปลือกอีก แฟนหนังแนวนี้คงเดาไปแล้วว่า เดี๋ยวคงทำภาคต่อ โดยเล่าย้อนกลับไปอีกยาว ๆ ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่า จะมีจริงหรือไม่?

สำหรับคนที่คิดถึง “โดมินิก เพอร์เซล” ที่เคยรับบทเค้าท์แดรกคูลา ในหนังแอ๊คชั้นทริลเลอร์สุดมันส์อย่าง Blade Trinity กลับมาคราวนี้ เขาไม่ค่อยจะพูดอะไรมากเหมือนเดิม เรียกว่าบทดูน้อยไปใช้ไม่คุ้มค่าตัวก็ว่าได้ แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือ การโดนขโมยซีนจากลูกน้องตัวเองที่ชื่อ “เอช บอล” (รับบทโดย อเลกซานเดอร์ ซเคียร์) ที่มีความโหดเหี้ยมมากกว่า จนบทของหัวหน้าสลัดอากาศสุดเหี้ยม กลายเป็นตัวหงอย ๆ ไปเสียอย่างนั้น

3/5 สำหรับภาพยนตร์ที่รวมเอาความระทึกขวัญ สยองขวัญ และบทดราม่า แม่-ลูก มาหลอมรวมกันได้อย่าลงตัว แต่ก็มีจุดรั่วของเนื้อหา รวมไปถึงบทที่ไม่เคลียร์หลายซีน

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Netflix