ท่ามกลางค่ำคืนอันอลเวง ณ ชานกรุงปารีสเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น โลกฟุตบอลได้ถูกตอกย้ำอีกว่า “ราชันชุดขาว” คือพ่อทุกสถาบัน ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก…!!!

ตัวเลขแชมป์หูใหญ่ 14 สมัย มากกว่าทีมที่ได้แชมป์มากสุดเป็นอันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน ที่ได้ไป 7 สมัยอยู่ 1 เท่าตัว แค่นี้ก็น่าจะไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีก…

ก่อนเกมที่ สต๊าด เดอ ฟรองซ์ มีเรื่องวุ่นวายจนทำให้เกมต้องเลื่อเวลาคิกออฟไปหลายรอบ สุดท้ายกว่าจะได้เขี่ยลูกก็เลยเวลาตี 2 ตรงตามกำหนดเดิมไป 36 นาที อันเนื่องมาจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับแฟนบอลฝั่ง “หงส์แดง”

ตามข่าวคือมีแฟนบอลจำนวนมากที่มีตั๋ว ไม่สามารถเข้าสนามได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ล็อกประตูด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ นานเข้าแฟนบอลก็เลยชักเดือด เพราะบอลจะเตะอยู่รอมร่อ แต่แถวยังยาวเป็นไมล์ จึงมีการเอะอะโวยวาย ขณะที่พี่ๆ ตำรวจปารีสก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ฉีดแก๊สน้ำตากับสเปรย์พริไทยใส่กลุ่มแฟน ๆ ซึ่งในจำนวนนั้นเท่าที่เห็นในคลิปมีเด็ก ๆ อยู่ด้วย!!!

ประเด็นสำคัญคือหลายคนก็สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ล็อคประตูทำไม? และการจัดการของ ยูฟ่า มันมีความพร้อมแค่ไหนกัน ทั้งที่ตั๋วแต่ละใบราคาไม่ใช่น้อย ๆ ขณะที่ฝั่งแฟนบอล “ราชันชุดขาว” ที่ได้โควต้าตั๋วมาเท่ากัน เข้าสนามไปเต็มสแตนด์ของตัวเองตั้งแต่ 1 ชั่วโมงของเกมแล้ว…!!!

แต่ในอีกมุม ข่าวก็ระบุว่ามีแฟนบอล “หงส์แดง” ที่ไม่มีตั๋ว แอบปีนรั้วที่สูง 3 เมตร มั่วเข้าสนามไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน

นั่นก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องไปหาคำตอบว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเกมฟุตบอลนัดสำคัญที่สุดในฤดูกาลของวงการฟุตบอลยุโรปได้อย่างไร?

ขยับเข้าไปที่เรื่องในสนามกันบ้าง เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ ได้ทีมที่สมบูรณ์เต็มที่ เมื่อ ฟาบินโญ และ ติอาโก อัลคันทารา ฟิตกลับมาเป็นตัวจริง แม้รายหลังจะมีอาการนิด ๆ ตอนวอร์มก่อนเกม แต่ก็ยังออกสตาร์เป็น 11 ตัวจริงได้

ส่วน “ราชันชุดขาว” ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็มาแบบฟูลทีมเช่นกัน เมื่อ ดาวิด อลาบา ฟิตกลับมาเป็นตัวจริง หลังมีอาการบาดเจ็บในช่วงท้ายซีซั่น ขณะที่ตัวรุกนอกจากตัวหลักอย่าง คาริม เบนเซมา และ วินิซิอุส จูเนียร์ แล้ว “อันเช” เลือก เฟเด วัลเวร์เด ก่อน โรดริโก

เกมครึ่งแรกใครที่นั่งดูอยู่ก็คงคิดไม่ต่างกันว่า รีล มาดริด “ไม่โดนยิงได้ยังไง?” เพราะ “หงส์แดง” ครองเกมบุกฉวัดเฉวียนไปมา มีโอกาสยิงมากมายเกือบ ๆ 10 ครั้ง แถมตรงกรอบซะครึ่งหนึ่ง แต่ตัวเลขบนสกอร์บอร์ดกลับเป็น 0 หน้าตาเฉย

ขณะที่ “ราชันชุดขาว” นั้น ถ้าไม่นับลูกที่ เบนเซมา ส่งบอลเข้าสู่ก้อนตาข่าย แต่ถูก วีเออาร์ ริบโทษฐานล้ำหน้าแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสง้างเท้าส่องเลยแม้แต่ครั้งเดียว เรียกว่าทำได้แค่ยกการ์ดยืนพิงเชือกรับพายุหมัดของ ลิเวอร์พูล ฝ่ายเดียว!!!

พูดถึงจังหวะล้ำหน้าของ เบนเซมา ถึงตอนนี้ก็ยังงงๆ อยู่ว่ามันไม่เป็นประตูยังไง เพราะถึง “เบนซ์” จะอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าตอนวิ่งเข้าไปซัดผ่านมือ อลิสซง ตุงตาข่าย แต่จากภาพช้าบอลมันกระดอนหัวเข่าของ ฟาบินโญ มาเข้าทางชัด ๆ ขณะที่เหตุผลอย่างเป็นทางการของ ยูฟ่า นั้น พูดง่าย ๆ ประมาณว่าทีมวีเออาร์ มองว่าบอลแฉลบ ฟาบินโญ มาโดยไม่เจตนา…

ก็เลยสงสัยนิด ๆ ว่าบอลแฉลบนี่มันมีการเจตนาได้ด้วยเหรอ?

แต่ก็เอาเถอะครับ มันผ่านไปแล้วเถียงกันไปก็เท่านั้น เพราะมันถูกตัดสินไปแล้ว ขณะที่ทั้งคู่ก็ยังมีเวลาให้สู้กันต่อในช่วงครึ่งหลังทั้งครึ่ง

ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ครึ่งหลังนี่แหละครับ เมื่อ “ราชันชุดขาว” เริ่มตั้งลำได้ และเริ่มสวนได้สวย ๆ มากขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ได้ประตู จากจังหวะที่ วัลเวร์เด เปิดเรียดจากฝั่งขวาให้ วินิซิอุส ชาร์จจ่อ ๆ ที่เสาสองตุงตาข่าย

นี่คืออัตลักษณ์ของ “ราชันชุดขาว” ทีมนี้อย่างชัดเจน นั่นคือพวกเขาไม่จำเป็นต้องการโอกาสเยอะ ขอจะ ๆ สักครั้งสองครั้ง ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นประตูได้ทันที

และที่เป็นโบนัสสำหรับทีมของ อันเชล็อตติ ในเกมนี้ คือนักเตะในเกมรับ ไล่มาตั้งแต่ คาเซมิโร แผงแบ๊กโฟร์ ไปจนถึง ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ท็อปฟอร์ม และเล่นได้ “เนี้ยบ” สุด ๆ ทุกคน

คาเซมิโร บล็อกจังหวะอันตรายได้นับไม่ถ้วน ส่วนการกลับมาของ อลาบา และจับคู่กับ มิลิเตา ถือว่าถูกที่ถูกเวลา เพราะถ้าเป็น นาโช ก็ไม่ชัวร์ว่าจะเหนียวแน่นแบบนี้ ขณะที่ฟูลแบ๊ก 2 ข้างแทบไม่เติม ทำให้เกมรับของ รีล มาดริด เกมนี้เป็นยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก

เท่านั้นยังไม่พอ กูร์กตัวส์ ยัง “องต์ลง” เซฟประหนึ่งมีพันมือ อย่างน้อยก็ลูกยิงของ ซาดิโอ มาเน ในครึ่งแรก รวมถึง 2 ช็อตของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในครึ่งหลัง มันจึงไม่แปลกหากเขาจะได้เป็น “แมน ออฟ เดอะ แมตช์”

ส่วนในฝั่งของ ลิเวอร์พูล นั้น ถามว่าเกมนี้พวกเขาผิดพลาดตรงไหน? ถ้าจะให้ตอบก็คือการว่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายไม่สำเร็จ!!!

ไม่ได้ตอบแบบกวนอวัยวะเบื้องล่างหรือกำปั้นทุบดิน แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย นอกจากยิงประตูไม่ได้เท่านั้นเอง

แม้จะพลาดแชมป์ถ้วยนี้ รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็น 2 ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดจาก 4 แชมป์ที่พวกเขาได้ลุ้นในซีซั่นนี้ แต่หากมองกลับไป ผมยังเชื่อว่านี่คือหนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ของ ลิเวอร์พูล อยู่ดี การได้แชมป์ คาราบาว คัพ กับ เอฟเอ คัพ ในปีเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่อีก 2 แชมป์พวกเขาก็ได้ลุ้นจนถึงเกมสุดท้าย

เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ต้องลงสนามตามโปรแกรมทุกถ้วยแบบเต็มเหยียด ไม่มีมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่พวกเขายังประคองร่างอันกรอบเป็นข้าวเกรียบมาจนได้ลุ้นทุกแชมป์ได้แบบนี้ ไม่ถือว่ายอดเยี่ยมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร

หรือหากจะมีอีกสักอย่างที่ผิด ก็น่าจะเป็นแค่ ลิเวอร์พูล อาจจะไม่มี ดีเอ็นเอ ของการเป็นแชมป์ถ้วยใบนี้เท่า รีล มาดริด แค่นั้นเอง…

อย่างไรก็ตาม วงล้อของโลกลูกหนังมันผ่านไปเร็วเสมอ อีกไม่นานซีซั่นนี้ก็จะกลายเป็นอดีต ซีซั่นใหม่ก็จะหมุนเข้ามาแทนที่ แถมเป็นซีซั่นที่น่าจะ “หนัก” ไม่น้อยกว่าซีซั่นนี้ เมื่อคู่แข่งสำคัญอย่าง แมนฯ ซิตี ออกอาวุณหนักเสริมทัพไปก่อนแล้ว…

ดังนั้นขอให้ขุบพล “หงส์แดง” ดื่มด่ำกับความสำเร็จ และก้าวข้ามความผิดหวังที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ แล้วเตรียมตัวเข้าสู่ซีซั่นใหม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหวังว่ามันจะทำให้ทีมไปได้ไกลกว่าซีซั่นนี้อีกก้าว ซึ่งหมายถึงแชมป์

เจอกันใหม่ฤดูกาล 2022-23 ครับ…

////////////////////////////

สถิติน่าสนใจหลังเกมนัดชิงดำ แชมเปี้ยนส์ ลีก

  • รีล มาดริด คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยที่ 14 มากกว่า เอซี มิลาน ซึ่งเป็นทีมที่ได้แชมป์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ถึงเท่าตัว
  • มีแค่ ยูเวนตุส เท่านั้น ที่แพ้ในรอบชิงชนะเลิศถ้วยใบนี้มากกว่า ลิเวอรืพูล โดย “ยูเว” แพ้ 5 ครั้ง ส่วน “หงส์แดง” แพ้เป็นครั้งที่ 3 ขณะที่ เจอร์เกน คลอปป์ คือกุนซือที่พาทีมแพ้ในรอบชิงดำถ้วยใบนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนี่คือการแพ้ในรอบชิงเป็นครั้งที่ 3 ของเจ้าตัว
  • แม้จะได้แชมป์ คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ ไปครองในซีซั่นนี้ แต่ ลิเวอร์พูล ยิงประตูไม่ได้เลยสักลูกเดียวในเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทั้ง 3 เกมในซีซั่นนี้ รวมเป็นเวลาราว 5 ชั่วโมงครึ่ง
  • ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงในเกมนี้ถึง 24 ครั้ง เป็นสถิติได้โอกาสยิงมากที่สุดแต่ทำประตูไม่ได้ในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04 เป็นต้นมา ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงเข้ากรอบในเกมนี้ 6 ครั้ง เป็นสถิตินักเตะที่ยิงเข้ากรอบมากที่สุดในการลงเล่นเกมชิงดำ แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดเดียว
  • คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือ รีล มาดริด กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ / ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พาทีมได้แชมป์ถึง 4 สมัย

เครดิตภาพ : REUTERS, Getty Images