แม้ว่าปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังไม่ได้สรุปรวบรวมความเห็นจากนักวิชาการ ภาคประชาชน กลุ่มผู้บริโภค และภาคธุรกิจโทรคมนาคม หลังจบการรับฟังความเห็นจากสาธารณะในวงจำกัด (Focus Group) ไปแล้ว 3 ครั้ง ให้กับบอร์ด กสทช. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าจะไฟเขียนให้มีการรวมธุรกิจของ 2 ค่ายมือถือระหว่าง “ทรู-ดีแทค” หรือไม่? แม้จะมีความชัดเจนในการพิจารณาของบอร์ดที่มีอยู่ปัจจุบัน 5 คน เริ่มส่งสัญญาณออกมาแล้วว่าไม่ควรรอบอร์ด กสทช. อีก 2 คน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติจากวุฒิสภา เพราะบอร์ดที่มีอยู่ 5 คนตอนนี้ สามารถโหวตลงคะแนนได้ทันที โดยคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค.65

ควบรวมส่งเสริมแข่งขันไม่จริง!

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงกรณีดีลการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ทรู” กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ดีแทค” ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีการควบรวมธุรกิจในอุตสาหกรรมค้าปลีก ระหว่างบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัด และบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) แม้ว่าจะมีการอนุญาตให้สามารถควบรวมได้และได้กำหนดเงื่อนไขในการควบรวมไว้ 7 ข้อ แต่ในบริบทของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมกลับต่างกัน เพราะในธุรกิจค้าปลีกได้นิยามคำว่า “ตลาด” ต่างกัน เพราะหมายถึง 2 ตลาดคือ Modern Trade กับ Traditional Trade
 
โดยในกรณีนี้จะแตกต่างกับตลาดโทรคมนาคมอย่างมาก เพราะนิยามคำว่า “ตลาด” ในที่นี้คือตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงอย่างเดียวไม่มีตลาดอื่น ผู้เล่นในตลาดมีเพียง 3 รายใหญ่ที่มีผลต่ออุตสาหกรรม คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” รวมทั้งทรู และดีแทค โดยเริ่มแรกเอไอเอสมี Market share ประมาณ 40% จากนั้นดีแทคตามหลังเข้ามาทำตลาด และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นมาได้มากที่สุดถึง 40% ส่วนทรูเข้าตลาดรายสุดท้ายโดยมีส่วนแบ่งการตลาดราวๆ 20% ซึ่งในตอนนั้น เริ่มมีการแข่งขันกันอย่างมาก เกิดการทำตลาดแข่งขันโปรโมชั่น ลดราคาค่าโทรศัพท์ มีการคิดแพ็กเกจทั้งแบบจ่ายรายเดือนและเติมเงิน เรียกได้ว่าตลาดคึกคักเกิดบริการใหม่ๆ ตามมาอย่างมาก

“ดังนั้น การควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่สามารถพูดได้ว่าจะยิ่งเพิ่มการแข่งขัน เพราะการควบรวมที่เกิดกับตลาดที่มีอยู่เพียงตลาดเดียว ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันไม่ว่าจะมองมุมใด เมื่อมีการแข่งขันแย่งลูกค้ากัน มันจะเกิดแรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันอย่างมาก ตลาดแบบนี้ส่งผลบวกอย่างมาก”

สัญญาณชัด “ดีแทค” ไม่ทำต่อแล้ว

ดร.ฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า หลังจากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยเริ่มขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน เมื่อกาลเวลาผ่านไปจากดีแทคที่เคยเป็นเบอร์ 2 ในตลาดขณะนั้น กลับกลายมาอยู่เบอร์ 3 เนื่องจากลูกค้าค่อยๆ หายออกจากไปโครงข่ายจำนวนมาก ตรงนี้เป็นเหมือนสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าจากดีแทคแล้วว่า ไม่ต้องการทำตลาดไทย (Exit) ตนเชื่อว่าขณะนั้น กสทช. ที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแล ต้องรู้สัญญาณดังกล่าวแล้ว เริ่มตั้งแต่ไม่เข้าประมูลโครงข่าย 5จี หรือเข้าร่วมประมูลแต่ไม่มีการเคาะราคาใดๆ ก่อนจะมาถึงจุดที่ทรู-ดีแทค ประกาศควบรวมกิจการกัน

แต่สุดท้ายแล้วกระบวนการควบรวมระหว่างทั้งสองบริษัทจบลง จะส่งผลให้ Market share (ด้านจำนวนผู้ใช้บริการ) ของเอไอเอสจะขึ้นไปอยู่ที่ 47% ขณะที่บริษัทเกิดใหม่หลังจากควบรวม หรือ “ทรู” จะมี Market Share อยู่ที่ 52% แต่หากพอควบรวมกันเสร็จแล้ว และมีการแข่งขันกันไปสักพัก ผู้เล่นในตลาดพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ก็จะไม่เหลือการแข่งขันอีกต่อไป เพราะส่วนแบ่งทางการตลาดต่างกัน 5-7% เท่านั้น และผู้บริโภคเองอาจจะไม่ได้รับบริการใหม่ หรืออัตราค่าบริการที่มีความหลากหลายให้เลือกอีกเหมือนในอดีต

ผู้เล่นเหลือ 2 รายไม่ต้องแข่งขัน

การที่ทรู-ดีแทค ได้ชี้แจงว่าการควบรวมสามารถทำได้ เพราะถือเป็นการควบรวมในส่วนของบริษัทแม่ไม่ใช่บริษัทลูกคือ CP และ Telenor Group ถ้ามองจริงๆ แล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะบริษัทลูกที่เป็นผู้เล่นในตลาดไม่สามารถสร้างอัตราการลดต้นทุนหรือเกิดการทำตลาดที่จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้เลย

ดังนั้น ตามข่าวประชาสัมพันธ์ที่บอกว่า หากทั้งสองบริษัทควบรวมกันแล้วจะทำบริการใหม่ๆ หลากหลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีอนาคต หากมองอย่างนั้นแต่ให้การควบรวมเป็นเรื่องของบริษัทแม่ก็ไม่รู้ว่าทรู และดีแทคจะควบรวมไปทำไม เนื่องจากมองไม่เห็นประโยชน์ เพราะไม่เห็นการพัฒนาและการเพิ่มสิทธิบริการใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่อำนาจการกำกับดูแลของ กสทช. แม้ว่ายังไม่ได้ข้อยุติว่า กสทช. จะอนุญาตให้ควบรวมหรือไม่ให้ควบรวม แต่สิ่งที่ กสทช. ต้องดูคือ หากปล่อยให้ควบรวมก็ต้องมาดูว่าตัวเองมีเครื่องมืออะไรที่จะเข้าไปกำกับดูแลให้บริษัทที่ควบรวมกันจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและไม่กระทบต่อผู้บริโภคที่มีใช้บริการอยู่

เพราะอย่าลืมว่า เมื่อตลาดเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 2 ราย และไม่เกิดการแข่งขันกันแล้ว อัตราค่าบริการมีแนวโน้มสูงขึ้นแน่นอน และ กสทช. ควรที่จะรีบออกมาสรุปหรือมีคำสั่งในการเรื่องนี้ออกมาทางใดทางหนึ่ง ยิ่งหากปล่อยให้เวลาผ่านไปจะเกิดผลเสียต่อสภาพเศรษฐกิจ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรควบคุม

ดร.ฉัตรชัย กล่าวอีกว่า เรื่องการควบรวมของทรู-ดีแทค ทำให้เห็นว่าเมื่อต้องมีการออกตัวที่จะกำกับหรือบังคับใช้กฎหมายแล้ว จะเห็นการปฏิเสธเรื่องนี้กันเป็นพัลวัน แม้แต่ กสทช. เองในช่วงแรกออกมาบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีอำนาจในการเข้าควบรวม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ รวมทั้งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็บอกว่าไม่มีอำนาจ แต่เป็นหน้าที่ของ กสทช.

ดังนั้น ในอนาคตหน่วยงานทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องคือ กสทช. และ กขค. หรือแม้แต่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.) และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ควรทำงานร่วมกันโดยยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยึดแต่ตัวกฎหมายว่าตัวเองเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว กับประเด็นที่เกิดขึ้น และกำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศ