หากจะถามถึงตัวคาแรกเตอร์การ์ตูนญี่ปุ่นที่อมตะนิรันดร์กาลที่สุด คงหนีไม่พ้น “โดราเอมอน” อย่างแน่นอน บนโลกใบนี้แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าหุ่นยนต์แมวหัวกลมสีฟ้าที่กลัวหนู

โดราเอมอน วาดโดย ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ เป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์แมวชื่อ โดราเอมอน ที่เดินทางด้วยไทม์แมชชีนมาจากอนาคตเพื่อช่วยเหลือ โนบิตะ เด็กประถมจอมขี้เกียจด้วยของวิเศษในกระเป๋า 4 มิติ โดราเอมอน ตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2512 ในประเทศไทย โดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนมีการตีพิมพ์โดยหลายสำนักพิมพ์ช่วงก่อนที่จะมีลิขสิทธิ์การ์ตูน ส่วนฉบับอนิเมะ ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2525 ทางช่อง 9 การ์ตูน หรือโมเดิร์นไนน์ทีวีในปัจจุบัน

ส่วนเวอร์ชั่นเดอะ มูฟวี่ ก็มีมาแล้วทั้งหมดถึง 42 ภาค เริ่มภาคแรก “ผจญภัยไดโนเสาร์” ในปี 1980 โดย “โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ : สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ 2021” (Doraemon:Nobita’s Little Star Wars 2021) ฉบับรีเมค เป็นภาคที่ 41 ขณะที่ภาค 42 “โนบิตะผจญภัยแดนฝันแห่งเวหา” จะฉายในปีหน้า 2023

สำหรับ “โดราเอมอน: สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ 2021” นั้น รีเมคมาจากเดอะ มูฟวี่ เรื่องที่ 6 “สงครามอวกาศ” ที่เข้าโรงฉายครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ปี 1985 โดยมีการปรับปรุงให้ภาพมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น เรื่องราวมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเส้นของการ์ตูนในยุคนั้น รวมทั้งโครงเรื่องที่ยังยึดตามเดิมเอาไว้

“โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ 2021” เล่าถึงการผจญภัยของ โนบิตะ โดราเอมอน ชิซุกะ ซึเนโอะ และไจแอนท์ ที่ร่วมกันช่วยเหลือเพื่อนใหม่อย่างมนุษย์ต่างดาว “ปาปิ” ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่เดินทางหนีภัยมาจากดาว “ปิริกะ” ที่เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจโดยกองกำลังทหาร มายังโลกมนุษย์ โดราเอมอน โนบิตะ และผองเพื่อน ต้องช่วยเหลือ ปาปิ เดินทางไปกอบกู้บ้านเมืองของเขากลับคืนมาให้ได้ด้วยอุปกรณ์วิเศษจากกระเป๋า 4 มิตินั่นเอง

จุดแข็งของ “โดราเอมอน: สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ”

เส้นเรื่องที่แข็งแรงมาก เข้มข้น ดุเดือด และดุดัน ประหนึ่งไม่ใช่การ์ตูนโดราเอมอนสำหรับเด็ก และที่สำคัญคือ มันเป็นเส้นเรื่องที่คิดขึ้นตั้งแต่ปี 1985 แต่มันดันมาเข้ากับยุคสมัยของคนไทยในยุคนี้เฉยเลย การที่ประเทศถูกทหารยึดอำนาจ มีวิธีการเดียวที่จะกอบกู้มันกลับคืนมาได้ นั่นคือการลุกขึ้นสู้ของประชาชน แน่นอนว่าชีวิตจริงมันไม่ง่ายเหมือนในการ์ตูนแน่ ๆ แต่มันก็ทำให้จิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตยเดือดพล่านขึ้นได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

ด้านเพลงประกอบหนังอนิเมะเรื่องนี้ ไพเราะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น
เพลงปิด Universe ของ ออฟฟิเชียลฮิเกดันดิซึม (Official髭男dism)

และเพลง Kokoro Arigatō (คำขอบคุณจากหัวใจ) ขับร้องโดย Billy Banban

พากย์ไทยที่แสนยอดเยี่ยม นำทัพโดยทีมงานชุดเดิมตั้งแต่ยุคช่อง 9 การ์ตูนที่แฟน ๆ โดราเอมอน คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ศันสนีย์ วัฒนานุกูล พากย์เสียง โนบิตะ, ฉันทนา ธาราจันทร์ พากย์เสียง โดราเอมอน, ศรีอาภา เรือนนาค พากย์เสียง ชิซุกะ, “น้าต๋อย เซมเบ้” นิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์ พากย์เสียง ไจแอนท์, อรุณี นันทิวาส พากย์เสียง ซึเนโอะ และทีมนักพากย์คุณภาพคับแก้วอีกเพียบ

นอกจากนั้น เราจะได้เห็น ชิซุกะ ในชุดใหม่ ๆ ที่เราแทบไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแขนกุด เสื้อสายเดี่ยวสุดน่ารัก รวมทั้งถ้าไม่มีฉากชิซุกะอาบน้ำ ก็คงไม่ใช่การ์ตูนโดราเอมอนแน่นอน

และที่สำคัญคือ ใครที่เป็นแฟนคลับของเด็กเรียนสุดหล่อ “เดคิสุงิ” ภาคนี้เขามีบทบาทและมีฉากที่ได้ออกมาโชว์โฉมหลายฉากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นฉากที่มาช่วย ซึเนโอะ กับ ไจแอนท์ ทำหนัง

จุดอ่อนของ “โดราเอมอน: สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ”

ด้วยความยาว 108 นาที อาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ปกครองที่จะพาลูกหลานไปชม เพราะหนังค่อนข้างนานเกือบ 2 ชั่วโมง แนะนำให้พาบุตรหลานเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเข้าโรง ซื้อน้ำซื้อขนมนมเนยเข้าไปให้เขาได้ทานระหว่างชม

4.5/5
ความยาวของเรื่องทำให้มีช่วงเวลาที่เนือย ๆ บ้าง แต่ด้วยแก่นของเรื่องที่สุดเข้มข้น ในการช่วยประธานาธิบดีกอบกู้เอกราชคืนจากกองกำลังทหารยึดอำนาจ ก็ทำให้คนไทยอินได้ไม่ยากเลย นี่คือภาพยนตร์อนิเมะระดับชั้นครูที่ถ้าไม่ใช่สุดยอดฝีมือของโลกจริง คงทำให้ดีขนาดนี้ไม่ได้ การนำเรื่องราวสุดซีเรียสมาทำให้เป็นการ์ตูนที่สอดแทรกมุขตลกเอาไว้มากมาย แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงสุดเข้มข้น รวมทั้งบทที่บาดลึกกินใจ มอบแง่คิดต่าง ๆ มากมายให้กับผู้ชม ทว่า กลับทำออกมาได้กลมกล่อมสุด ๆ ดูง่าย ย่อยง่าย “เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี” ไม่มีประโยคไหนจะจริงไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับ “โดราเอมอน: สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ” พาบุตรหลานไปชมเถอะครับ ถือเป็นการปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งความประชาธิปไตยด้วย

#Doraemon #โดราเอมอน #โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ #สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : หมีเช
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : เอ็ม พิคเจอร์ส