อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม

ทันทีที่…หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอย่าง “เศรษฐา ทวีสิน” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศที่จะเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยต้องใช้จ่ายในรัศมี 4 กม. ตามที่อยู่ในบัตรประชาชน ก็เรียกเสียงฮือฮาจากกระแสสังคมทันที

หลายฝักหลายฝ่าย!! ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โดยส่วนใหญ่ออกจะเป็นใน “ทางลบ” เสียมากกว่า เพราะมองว่าเป็นเรื่องของการ “แจกเงิน” และเป็นการแจกเงินที่ไม่ใช่จำนวนน้อย

เมื่อโจทย์กำหนดเติมเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป นั่นหมายความว่า…จะมีคนไทยมากถึง 55 ล้านคน ใช้เงินไม่น้อยกว่า 5.5 แสนล้านบาท และ…ถ้าเป็นการใช้เงินงบประมาณ!! คำถาม? คือ… แล้วจะไปเจียดเงินงบประมาณมาจากตรงไหน?

แม้ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จะออกมาชี้แจงว่าที่มาของเงิน มีทั้ง…รายได้ประเทศ โดยเฉพาะการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ทั้งภาษีจากธุรกิจทั่วไป และภาษีมูลค่าเพิ่ม

นอกจากนี้ยัง ต้องทบทวนงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยเฉพาะการนำไปใช้จ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น งบกลางวงเงินกว่า 5-6 แสนล้านบาท อาจมีบางรายการที่ไม่มีความจำเป็น รวมทั้งงบประมาณที่ไม่จำเป็นของภาคราชการที่ไม่ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

ดูที่ไปที่มาของเงินที่นำมาสนับสนุนแล้ว เชื่อได้ว่า ส่วนราชการคงมีหนาว!! เพราะนั่น…เท่ากับว่าต้องมาปรับโครงสร้างวงเงินงบประมาณกันใหม่ เพราะ…เป้าหมายของการทำโครงการนี้จะเกิดขึ้นเป็นของขวัญปีใหม่ในปี 67

การแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการระยะสั้น เพื่อปลุกกำลังซื้อของคนไทย มีเป้าหมายทำเพียงครั้งเดียว ภายใน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้ที่ 5%

Free photo selective focus shot of male hand holding a smartphone with cryptocurrencies statistics on screen

อย่างไรก็ตาม เรื่องของ “เงินดิจิทัล” ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทุกวันนี้คนไทยก็คุนเคยคุ้นชิน อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน “แบงก์ชาติ” ก็อยู่ระหว่างการพัฒนา “เงินบาทดิจิทัล” ภายใต้ชื่อ “โครงการอินทนนท์” และเตรียมประเมินผลในเดือน ส.ค.ปีนี้

การจะนำเงินบาทดิจิทัล มาใช้เป็นการทั่วไปเหมือนเงินสกุลดิจิทัลอื่น ๆ หรือไม่นั้น ยังต้องมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินในปัจจุบัน

เพราะอย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ที่กระแสเงินดิจิทัลกำลังฮอตฮิตติดลมบนจนทำให้เกิด “เศรษฐีใหม่” เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยระบบที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ก็ทำให้สกุลเงินดิจิทัลหลายสกุลในโลกต้อง “พังครืน”

Free photo cardano blockchain platform with tablet

ถึงขนาดที่ว่าแบงก์ชาติต้องสั่งห้ามไม่ให้มีการใช้เงินดิจิทัลในการชำระเงิน ด้วยเป็นห่วงสถานการณ์ว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแบบที่เรียกว่าตั้งตัวไม่ติดจนรับมือไม่ทัน เพราะถือเป็นนวัตกรรมการเงินใหม่ที่สังคมไทยยังไม่มีความชำนาญ

บรรดากูรู บอกว่า…ข้อดีของเงินดิจิทัลคือ สามารถติดตามการใช้เงิน โดยเฉพาะเงินของรัฐที่จ่ายไปแบบพุ่งเป้า ว่า…ถูกนำไปใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่?

ด้วยเพราะเงินดิจิทัลเป็นสกุลเงินที่แยกต่างหากจากเงินบาทปกติ และสามารถปิดช่องการทุจริตจากการเข้าร่วมโครงการรัฐ เช่นโครงการเที่ยวด้วยกัน หรือโครงการคนละครึ่ง

เรียกได้ว่า…ถือเป็นการตอบโจทย์มาตรการกระตุ้นการใช้เงินของรัฐ ให้มีการใช้จ่ายอย่างตรงวัตถุประสงค์!!

ต้องยอมรับว่า ณ เวลานี้ “การแจกเงิน” ในหลากหลายรูปแบบในหลากหลาย โครงการถือเป็นการนำเสนอนโนบายที่แต่ละพรรคการเมือง ต่างหยิบยกมาเพื่อหวัง “ซื้อใจ” ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

ความหวังใหญ่ ก็เพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุดเพื่อให้ได้เป็น “รัฐบาล” ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า นโยบายแจกเงินก็ส่งผลกระทบต่อฐานะของประเทศไม่น้อย

เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าต้องจัดสรรมาจากเงินงบประมาณที่ ณ เวลานี้ แทบไม่เหลือช่องว่างเพื่อนำเงินไปลงทุนพัฒนาประเทศอย่างที่ควรจะเป็น

สารพัดนโยบาย “แจกเงิน” ต้องถือว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจกันเลยว่า บรรดานักวิชาการ บรรดาภาคเอกชน ต่างออกอาการกันทุกครั้ง

อย่าลืมว่า…ทุกวันนี้หนี้สาธารณะของประเทศล่าสุดเมื่อ เดือน ก.พ. 66 มียอดหนี้รวม 10,724,775.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61.13% ของจีดีพี

ขณะที่การจัดทำงบประมาณในแต่ละปี ยังจัดทำแบบ “ขาดดุล” ที่มีมานานนับสิบปีต่อเนื่อง จึงกลายเป็นคำถาม กลายเป็นความห่วงใย

ทั้งหมด คงต้องมาตามติดกันต่อไปว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และที่สำคัญ เงินดิจิทัลในครั้งนี้ จะถูกนับรวมเป็นหนี้สาธารณะด้วยหรือเปล่า!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”