ถูกสนใจจากแฟนๆ หนังและคนทั่วไปหนักมากตั้งแต่ยังไม่ฉายทางโรงภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “หุ่นพยนต์” ที่ล่าสุดเจอกองเซ็นเซอร์ทำพิษจนต้องไปจำกัดเรตติ้งใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น “ปลุกพยนต์” เพื่อเข้าฉายให้แฟนๆ ได้ชมกัน โดยเรื่องราวดังกล่าวเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงมาร่วมสัปดาห์ทีเดียวว่าเหมาะสมหรือไม่ที่สั่งแบนก่อนเข้าโรงและต้องเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ งานนี้แม้เรื่องราวมันผ่านมาแล้ว ก็บอกตรงๆว่า yimyim และทุกคนอ่ะ ก็อยากรู้หนักมากว่าเรื่องราวและการทำงานในเรื่องเป็นอย่างไร พอเจอตัวนักแสดงหนุ่มหล่อ ภูวิน-ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน เลยไม่พลาดคว้าตัวมาอัปเดตสักหน่อยว่าการทำงานเป็นยังไงและเรื่องราวของหนังเป็นแบบไหนกันแน่

ทักทายแฟนๆสักหน่อย
“สวัสดีครับ (ยิ้ม) ผมภูวิน-ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน จากภาพยนตร์เรื่องปลุกพยนต์ครับ”

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของภูวินเลยใช่มั้ย ทำไมถึงตัดสินใจรับเรื่องนี้
“ใช่ครับ…ก็จริง ๆ แล้วการที่เรารับหนังผีเนี่ยเราก็ค่อนข้างกลัวเหมือนกัน คือตอนแรกก็ได้ติดต่อมาจากทางพี่ไมค์ ผู้กำกับ เหมือนกันเขาก็แบบถามแบบอยากสนใจมาลองดูมั้ยอะไรอย่างงี้ แล้วเราก็คิดว่าเป็นหนังผีตลก (หัวเราะ) เหมือนที่ผมคุยกับพี่แบบนี้เลย (หัวเราะ) แต่พอได้อ่านบทจริงๆ คือแบบอ้าวไม่ใช่นี่หว่า มันเป็นหนังผีจริงจังเลยแต่แบบเออไม่เป็นไร ถึงจะกลัวแต่ก็อยากลองทำดู”

อันนี้คือหนังผีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีคอมเมดี้เลยใช่ไหม
“ครับ ไม่มีคอมเมดี้เลย เป็นหนังจริงจังเลยครับ”

อย่างที่บอกภูวินกลัวผี แล้วทำไมเรื่องแรกถึงเดบิวต์ในวงการภาพยนตร์ด้วยเรื่องผีเลยล่ะ
“ก็อย่างที่บอกครับ จริงๆ พอมีโอกาสก็อยากจะรีบคว้ารีบเล่นไว้ก่อนแล้วอีกอย่างภาพยนตร์ไทยก็ไม่ค่อยจะมีหนังให้เราได้เห็นกันขนาดนี้อาจจะแบบเป็นปีละครั้งเลย ก็ได้พอมีโอกาสก็เลยอยากจะลองเล่นดูแล้วยิ่งเป็นผู้กำกับที่มีโปรไฟล์อยู่แล้วยิ่งรู้สึกอยากทำงานด้วยก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้จักเลยว่าหุ่นพยนต์คืออะไร จนได้มาทำหนังเรื่องนี้ แล้วนักแสดงที่ได้ร่วมงานด้วยก็โปรไฟล์ดีผู้กำกับก็โปรไฟล์ดีอย่างงี้ใครจะไม่อยากร่วมงานด้วยล่ะ (หัวเราะ) แต่คือจริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เขามารับเราด้วย คือมันไม่ใช่แค่แบบเขามาเชิญเราไปแล้วก็ไปเล่นเลยแต่เราต้องไปแคสติ้งด้วย”

ภูวินก็ต้องผ่านการแคสติ้งมาอย่างหนักเลยใช่มั้ย
“ใช่ครับ ต้องไปแคสไปเวิร์คช็อปตัวละครด้วยกับทางไฟว์สตาร์ฯ ด้วยเพื่อให้เขาโอเคกับเรา”

จริง ๆ ถ้าเกิดใครติดตามภูวินจะนึกถึงเรื่องวิทยาศาสตร์นะคะ แล้วพอมาเล่นเรื่องนี้ ที่เป็นหนังเกี่ยวกับความเชื่อยากมั้ย
“ผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง ผมเป็นคนกลัวผี แต่ไม่เชื่อเรื่องผีนะ คือเป็นคนที่กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้แล้วกันบางสิ่งมันยังเป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้ พอเราไม่รู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นยังไงเราเลยรู้สึกกลัว ซึ่งในบทเรื่องหุ่นพยนต์เนี่ยเขาใช้หุ่นพยนต์จริง ๆ เขาไปเช่ามาจริง ๆ ใช้คาถาจริง ๆ พอทุกอย่างมันจริงมันเหลือแค่เราที่ต้องไปเข้าบทตัวละครนั้น ๆ พอทุกอย่างรวม ๆ แล้วมันก็ง่ายขึ้น”

ด้วยอายุของภูวินแล้วจริง ๆ อาจจะเดาได้ว่าไม่น่าจะรู้จักหุ่นพยนต์แน่ ๆ แล้วมีไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อมาเล่นหนังเรื่องนี้เยอะมั้ย
“แน่นอนครับว่าต้องไปศึกษามา แล้วก็มีคุยกับพี่ไมค์แล้วก็คุยกับที่บ้านด้วยครับ ผมก็แบบเป็นคนเต็มที่ทุกอย่างในการทำงานอยู่แล้วแล้วพอกดรับงานเรืองนี้ไปปุ๊บ พ่อผมถามรู้จักรึเปล่าว่าหุ่นพยนต์คืออะไร ผมก็แบบเออว่ะแล้วตอนแรกอ่านก็อ่านว่าเป็นหุ่นยนต์ (หัวเราะ) แล้วก็ไปศึกษามาว่าหุ่นพยนต์เนี่ยเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งก็จะมีสองสาย จะมีสายขาวกับสายดำ จะมีแบบสามารถรับของแทนได้แล้วสายดำก็จะสามารถทำร้ายคนอื่นได้”

แล้วในบทภูวินรับบทเป็นใครยังไงคะ
“ในเรื่องผมก็จะรับบทเป็นไทม์ครับ ไทม์เนี่ยเป็นคนกรุงเทพฯ ก็จะเป็นตัวแทนคนดูเนี่ยแหละที่แบบได้เห็นมุมมองของคนในหมู่บ้านว่าเฮ้ย ทำไมถึงเชื่อได้ขนาดนี้ เพราะว่าไทม์ได้เดินทางไปที่เกาะแห่งหนึ่งแล้วพี่ชายก็ไปบวชที่เกาะนี้แล้วเขาก็หายไปเลยไม่ได้รับการติดต่อ แล้วพอเขารู้สึกว่าเห้ยทำไมพี่ชายหายไปไหนทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลยเลยอยากจะไปหาพี่ชายที่เกาะนี้ เรียกง่าย ๆ คือไทม์เนี่ยเป็นคนที่อยู่ในบ้านผีสิงแต่คนไล่ยังไงก็ไม่ยอมออก (หัวเราะ)”

แฟน ๆ เห็นโปสเตอร์หนังกันมาแล้วคือบรรยากาศน่ากลัวมาก ๆ เลย ตอนถ่ายทำบรรยากาศน่ากลัวแบบนั้นมั้ย
“ก็..น่ากลัวครับ (หัวเราะ) คือ..ไม่ได้มีการเซ็ทอะไรเลยครับ มันก็จะมีฉากแบบซีนใหญ่ๆแบบเนี้ยอาจจะมีเซ็ทบ้างแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วที่เห็นคือสถานที่จริงหมดเลย หุ่นพยนต์เนี่ยก็เป็นของจริง เครื่องรางก็เป็นของจริง หุ่นปั้นเนี่ยก็เป็นของจริง มีแค่ไม่กี่ตัวเองที่ปั้นขึ้นมาจากทีมเซตบรรยากาศมันก็พาไปแล้ว เราถ่ายแบบโลเกชั่นก็คือโหดมากแบบอีกยี่สิบถึงสามสิบกิโลก็จะถึงชายแดนพม่าละ เดินทางก็คือนั่งรถกันไปห้าถึงหกชั่วโมงบวกกับนั่งเรืออีกชั่วโมงสองชั่วโมงอย่างเงี้ย แล้วคือเรื่องนี้ไม่มีการถ่ายทำในกรุงเทพหรือสตูดิโอใด ๆทั้งสิ้นเลยคือใช้สถานที่จริงล้วน ๆ”

ด้านการแสดงเรื่องนี้ยากง่ายยังไงบ้าง มีเหตุการณ์น่ากลัวไหม

“บอกเลยครับว่ากองนี้การทำงานราบรื่นมาก ๆ เลย พี่ไมค์ ผู้กำกับให้แบบฟรีดอมในการทำงานมาก ๆ เลย ไหนจะพี่อัพ พี่ทุก ๆ คนก็คือน่ารักกันมาก ๆ พออยู่ในโลเกชั่นที่แบบมันไม่เอื้อ ไม่มีอินเทอร์เน็ต มันยิ่งต้องอยู่กันเองเลยยิ่งทำให้สนิทกันมากขึ้นครับ”

มีโปรเจกต์ฉายหนังเรื่องนี้ที่ต่างประเทศมั้ย
“จริง ๆ ก็เรามีแพลนฉายหนังทั้งหมด 13 ประเทศครับผม แต่ก็ต้องรอดูไปก่อนยังบอกไม่ได้ว่ามีประเทศอะไรบ้าง ก็ต้องรอติดตามชมกันว่ามีใครบ้างครับ”

ในเรื่องมีฉากที่ประทับใจไหม
“จริง ๆ แล้วก็มีฉากที่ประทับใจนะครับแต่ว่ามันจะสปอยล์มั้ย (หัวเราะ) เอาเป็นฉากที่เห็นในตัวอย่างแล้วกัน จะเป็นฉากที่ผมเนี่ยทุบหุ่นพยนต์ เป็นฉากที่รู้สึกได้ถึงการทำลายความศรัทธาเหมือนแบบ เราแสดงออกเลยว่าเราไม่เชื่อ แต่ตัวจริงของผมอะคือผมเป็นคนที่คิดว่าถ้าไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ แต่พอเป็นไทม์แล้วเนี่ย คือ ตรงกันข้ามเลยไม่เชื่อแล้วคือจะพิสูจน์ให้เห็นให้ได้รู้เลยว่ามันไม่มีอยู่จริง”

ส่วนฉากที่รู้สึกว่าเราทำแล้วรู้สึกแฮปปี้ขึ้นหรือแบบปลดล็อกตัวละครที่มีฉากนั้นมั้ย
“ด้วยตัวละครที่ค่อนข้างเครียดนะครับ ผมมันเลยมีฉากที่ปลดล็อกความรู้สึกตัวเองค่อนข้างยากมันจะมีฉากทีเป็นซีนเปิดแล้วก็ซีนปิด เพราะซีนเปิดเนี่ยจะรู้สึกว่า เราจะรู้จักตัวละครที่แบบแค่ผิวเผินเลยรู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่มาจากกรุงเทพฯ แล้วฉากปิดก็คือเป็นไทม์ที่ผ่านอะไรมาเยอะแล้วก็จะได้รู้ว่านี่คือตัวตนของไทม์จริง ๆ”

ตอนนี้มีแฟน ๆ สปอยล์ผ่านโลกออนไลน์มาตลอดแล้วบอกว่าคิดว่าตอนจบของเรื่องคือคุณแค่ฝันไป แล้วก็ตื่นขึ้นมาเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะด้วยความเป็นพี่ไมค์เลยทำให้หลาย ๆ คนอาจจะคิดแบบนั้นจริงไหม
“อ่อออ อันนี้เป็นที่แฟนคลับคิดเอาไว้ใช่มั้ย (หัวเราะ) ก็อาจจะเป็นไปได้น้าอาจจะฝันไปก็ได้จริง ๆ แล้วอาจจะอยู่ที่บ้านแล้วก็เฉยมาตอนจบ ยังไงต้องรอดูดีกว่าครับ”

ความคาดหวังของงานชิ้นนี้วางไว้อย่างไร
“ถามถึงความคาดหวังแล้วก็ต้องมีกันบ้างแหละครับ (หัวเราะ) คือหวังว่าคนดูจะชอบแล้วก็มั่นใจว่าผลงานที่ออกมาจะเป็นผลงานที่ดีทำให้คนดูรู้สึกสนุกที่ได้ดู แล้วก็หวังว่าจะเป็นไปตามที่ค่ายหวังไว้หรือที่นักแสดงหลายๆคนหวังไว้แล้วก็อยากจะให้สมหวังเหมือนที่ผู้กำกับหวังไว้ เพราะว่าผลงานทุกอย่างมาจากผู้กำกับซะส่วนใหญ่แล้วส่วนตัวผมรู้สึกว่าบทมันก็ดีอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคนดูแล้วครับว่าจะรู้สึกยังไง”

มีขอพรให้ได้ร้อยล้านพันล้านไหม
“จริง ๆ ก็ได้แอบขอพรมาบ้างครับ เพราะผมก็ขอให้หนังประสบความสำเร็จนี่แหละครับ เพราะเราไปเนี่ยเราก็ต้องขอก่อนอยู่แล้วขอมาถ่ายทำเรื่องนี้ขอมาถ่ายทำเรื่องปลุกพยนต์ก็เลยขอเลยว่าขอให้พวกหุ่นเนี่ยช่วยทำให้สตอรี่ของเขาเนี่ยดังแล้วประสบความสำเร็จ”

หนึ่งเหตุผลที่ไม่ควรพลาดในหนังปลุกพยนต์คืออะไร
“ผมคิดว่าเป็นศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีคนนำมาลงสื่อเท่าไหร่ ผมคิดว่าเป็นการให้ความรู้อย่างนึงแล้วก็โปรโมตความเป็นไทยให้ผู้คนได้รับรู้ครับผม”

มีแฟน ๆ สอบถามมาว่าจะพาใครไปดูหนังเรื่องนี้พิเศษไหม
“แน่นอนครับ คนนั้นเขาไปอยู่แล้วครับ (หัวเราะ) ผมจองที่ไว้ให้พิเศษโดยเฉพาะเลย เขาก็คุณปอนด์ (ณราวิชญ์) นั่นแหละครับ เขาก็เป็นคนกลัวผีเหมือนผมนี่แหละ แต่เขาก็บอกว่าเออเนี่ยถ้าไม่ใช่เพราะมึงแสดงกูไม่ไปดูหรอก เขาจะแบบเป็นสายซัพพอร์ตอ่ะครับ แล้วก็เป็นสายมูด้วย (หัวเราะ) เคยพาผมไปมูที่คำชะโนดอะครับ แล้วเขาแบบเขาขอจริงจังมาก ผมก็เออขอพร แล้วหันไปเขาก็ยังขอพรอยู่ผมก็อ่ะขอพรต่อพอหันไปอีกเขาก็ยังขอพรอยู่จนผมไปอยู่ข้างหลังแล้วเขาก็ยังขอพรไม่เสร็จเลย (หัวเราะ) แม้กระทั่งตอนถ่ายงานเขาก็ยังขอพรอยู่นะ ผมขอพรแบบเออทิ้งช่วงไว้สักพักเพื่อให้เขาเอาฟุตผมไปตัดต่อแต่หันไปพี่ปอนด์คือยังขออยู่ยังขอไม่เสร็จเลยผมก็อะ ใช้ฟุตคนละอันอยู่ละ แต่สรุปผ่านไปสามสิบวิเริ่มปวดขาละ (หัวเราะ) แต่เขายังขอไม่เสร็จเลยตากล้องก็งงว่าเอ๊ะทำไมขอนานจังวะ สรุปขอพรจริง ๆ ละคือขอระหว่างถ่ายด้วยนะ (หัวเราะ)”

ฝากผลงานสักหน่อย

“ก็อยากให้ทุกคนไปดูภาพยนตร์ปลุกพยนต์กันครับ ผมและทีมงานและทุกๆคนเลยตั้งใจมาก ๆ มันมีความสนุกและข้อคิดอยู่ในนั้นอยากให้ลองไปดูกันครับทุกโรงภาพยนตร์เลยครับ”

โอ๊ยหนุ่มภูวินเล่าก็ชวนขนลุกอยู่ แต่ตอนจบก็ชวนเขินอยู่ >< ยังไงก็อย่าลืมไปดูงานหนังชิ้นแรกของหนุ่มคนนี้กันนะคะ บอกเลยโดนใจทุกคนแน่นอนเพราะเรื่องราวและความสมจริงรวมถึงการแสดงของทุกคน yimyim ว่าไม่มีใครผิดหวังแน่นอนจ้า


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย “yimyim”