ทราบกันอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียน ลีก ในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เชือดอินเตอร์ มิลานไป 0-1 คว้าแชมป์ไปครอง พร้อมกับทำสถิติ ทริปเปิล แชมป์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา

ย้อนไปในฤดูกาล 2009/10 อินเตอร์ มิลาน เคยสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้า ทริปเปิล แชมป์ ในฤดูกาลนั้นได้เช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นการคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก ครั้งแรก และครั้งเดียวของพวกเขา หากไม่นับ “ยูโรเปี้ยน คัพ” ที่ได้ไปแล้ว 2 ครั้ง

บทความนี้ จะพาย้อนไปดูความสำเร็จของทัพงูใหญ่ ในรายการ UCL ฤดูกาล 2009/10 ภายใต้การคุมทีมของกุนซือจอมอหังการที่ชื่อ “โชเซ มูรินโญ”

ดีเอโก มิลิโต

ยุครุ่งเรืองของอินเตอร์
ในฤดูกาล 2008/09 โชเซ มูรินโญ ย้ายเข้ามาคุมอินเตอร์ มิลาน แทนที่ โรแบโต้ มันชินี ที่ย้ายไปคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี

มูรินโญ พาทีมงูใหญ่คว้าแชมป์ เซเรียอา ได้ทันทีในฤดูกาลแรก โดยเก็บไปทั้งหมด 84 คะแนน ซึ่งก่อนหน้านี้ อินเตอร์ ก็คว้าแชมป์ เซเรีย อา ติดต่อกันมา 3 ปี

เรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของ อินเตอร์ เลยก็ว่าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาห่างหายไปนั่นก็คือ ถ้วยใหญ่ระดับทวีปนั่นเอง

ตอนนั้น อินเตอร์ เคยคว้าถ้วยยุโรปมาทั้งสิ้น 5 ครั้ง ประกอบด้วย ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 3 ครั้ง และ ยูโรเปี้ยน คัพ 2 ครั้ง (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก)

ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้สัมผัสถ้วยใหญ่ใบนี้ คือฤดูกาล 1964/65 ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากๆ นี่จึงเป็นความท้าทายของ มูรินโญ ที่จะพาทีมคว้าถ้วยใบนี้มาครอง

ฤดูกาลถัดมา อินเตอร์ เชือดเฉือนกับ โรมา และสามารถคว้าแชมป์ เซเรีย อา ฤดูกาล 2009/10 มาครอได้สำเร็จอีกครั้ง

แถมพ่วงด้วยแชมป์ โคปา อิตาเลีย ทำให้เหลือเพียงถ้วย “แชมเปี้ยน ลีก” เท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเปิล แชมป์

โชเซ มูรินโญ

ไม่เพอร์เฟ็กต์ เน้นเพอร์ฟอร์ม
อินเตอร์ มิลาน แม้จะเสียนักเตะตัวหลักไปหลายคน เช่น ปาทริค วิเอรา, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ฮูลิโอ ครูซ และ แม็กซ์เวล แต่ก็ได้ ดีเอโก มิลิโต, ซามูเอล เอโต, เวสลีย์ ชไนเดอร์, ลูซิโอ และ โกรัน ปานเดฟ เข้ามาทดแทน

นักเตะเหล่านี้ ถูกที่ใช้งานอย่างถูกต้อง และถูกตำแหน่ง ด้วยมันสมองของมูรินโญ ทำให้ทีมโชว์ฟอร์มเทพออกมาได้ และเล่นได้ตามแผนที่วางไว้

ในมือ มูรินโญ นั้น สไตล์การเล่นของทีม อาจจะไม่ได้เอนเตอร์เทนแฟนบอลสักเท่าไหร่ แต่เป็นทีมที่เน้นผลลัพธ์ ตั้งรับรอสวน แต่เชื่อได้เลยว่า สิ่งที่เขาทำ มันได้ผลกับ อินเตอร์ ยุคนั้นจริงๆ

ฮาเวียร์ ซาเนตติ ชูถ้วยแชมป์

Master of Defense
มูรินโญ ใช้ระบบการเล่น 4-3-1-2 ในลีก และระบบ 4-2-3-1 ในเวทียุโรป ซึ่งจะเน้นเกมรับที่มากกว่า

สไตล์การทำทีมของมูรินโญ คือการตั้งรับแน่นๆในโซนตัวเอง ไม่ค่อยเน้นเพรซซิ่งสูง บวกกับการ Counter Attack แบบโป้งเดียวจอด

อินเตอร์ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้โดยจบอันดับ 2 และผ่านรอบ 16 ทีม ที่เจอกับ เชลซี ต่อด้วยรอบ 8 ทีม กับ ซีเอสเคเอ มอสโก จนมาพบกับ บาร์เซโลนา ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งทั้งคู่ เคยเจอกันมาก่อนแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม

ในรอบรองชนะเลิศ ที่เจอกับ บาร์เซโลนา นั้น มูรินโญ ได้วางแผนเกมรับมาเป็นอย่างดี และที่เราคงจะจำกันได้ดีคือ “แผนกรงขังเมสซี” ที่จะทำให้อิสระในการเล่นของเขาน้อยลง และมันก็ได้ผล

ส่งผลให้ทีมของ มูรินโญ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิก

ท่านประธาน มัสซิโม โมรัตติ

คว้าแชมป์ UCL อย่างยิ่งใหญ่
ในนัดชิงระหว่าง อินเตอร์ มิลาน กับ บาเยิร์น มิวนิก รูปเกมเป็นเสือใต้ บุกกดงูใหญ่อยู่ฝั่งเดียว ครองบอลเกือบ 70% โอกาสยิงมากกว่า 20 ครั้ง

แต่ด้วยความยอดเยี่ยมในเกมรับของ อินเตอร์ และการสวนกลับที่เฉียบขาดเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เพียงพอต่อการส่งให้อินเตอร์ คว้า “ทริปเปิลแชมป์” ไปครอง

เกมนั้น อินเตอร์เอาชนะไป 2-0 จากการพังประตูแบบเฉียบขาด ของ ดิเอโก มิลิโต หัวหอกอาร์เจนไตน์ ที่ทำคนเดียว 2 ประตู

นี่คือถ้วยที่ อินเตอร์ รอคอยมาอย่างยาวนาน พวกเขามีโอกาสหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็หลุดมือไปหมด จนกระทั่ง มูรินโญ และลูกทีมทำได้

การเอาชนะ เชลซี, ซีเอสเคเอ มอสโก, บาร์เซโลนา และบาเยิร์น มิวนิก ในตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

แต่มันคือความสุดยอดของ อินเตอร์ มิลาน ยุครุ่งเรือง และพวกเขา ยังรอวันที่จะกลับมาคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ใบนี้ อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง.

เครดิตภาพ : เกตตี อิมเมจ