ในปัจจุบัน มลพิษหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต คือฝุ่นพิษจากการจราจร โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่เราต่างก็เรียกร้องให้รถหมดสภาพหยุดวิ่งบนถนนเพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดควันพิษ และฝุ่นควันพิษที่เกิดจากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เศษข้าวโพด  การเผาในภาคเหนือลมสามารถหอบเอาฝุ่นมาได้ถึงกรุงเทพฯ  ในช่วงอากาศอับลม ฝุ่น PM 2.5 จะนิ่งจนขมุกขมัวทั้งเมือง จนทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจปีละหลายพันคน

น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่มีสัญญาในเรื่องประเทศที่ก่อควันพิษต้องมีการชดใช้ด้วย เช่นกรณีหากเกิดเผาวัสดุทางการเกษตรจนเกิดควันพิษบนเกาะบอร์เนียวส่งผลถึงสิงคโปร์ ก็ต้องมีการรับผิดชอบ สิงคโปร์ออกกฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน หรือ Transboundary Haze Pollution Act เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายสำหรับควบคุมการดำเนินธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียของบริษัทที่มีที่ตั้งในสิงคโปร์ เมื่อถึงฤดูเผาวัสดุทางการเกษตรทีก็เดือดร้อนกันที จนในที่สุดหลายพรรคการเมืองพยายามผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด นอกจากนี้ การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมก็มีโอกาสที่จะได้รับสารพิษโลหะหนักเหล่านี้  

นพ.พัฒนจัก วิภาดากุล นายแพทย์เจ้าของพัฒนจักคลินิกเวชกรรม อธิบายว่า “ในฝุ่นพิษเหล่านี้มีสารที่เป็นอันตรายคือ ปรอท แคดเมียม ตะกั่ว อะลูมิเนียม และสารหนู  แคดเมียมเป็นสารที่น่ากลัวมากครับ ในเรื่องของการก่อมะเร็ง พบได้ในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ควันบุหรี่ และฝุ่น PM 2.5 โลหะหนักเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยมาก ปรอทก็ทำให้เกิดโรคทางระบบประสาท เป็นปลายประสาทอักเสบได้ อะลูมิเนียมทำให้การทำงานของฮอร์โมนเปลี่ยนไป มีผลต่อต่อมไทรอยด์ มีผลต่อการผลิตอินซูลินได้น้อยลง นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ เพื่อให้พลังงานได้ไม่เต็มที่”

วิทยาการทางการแพทย์เน้นการป้องกันดีกว่าการรักษาในแง่ที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว และค่าใช้จ่ายถูกกว่า ดังนั้น จึงมีนวัตกรรมเพื่อการขับโลหะหนักเหล่านี้ออกจากร่างกายเรียกว่า “คีเลชั่น (Chelation)” นพ.พัฒนจัก อธิบายถึงเรื่องคีเลชั่นว่า คือการขับโลหะหนักออกจากร่างกายโดยเริ่มจากการตรวจค่าโลหะหนักในเลือด  ตรวจค่าไต จากนั้น มีการดริฟต์ยา (คล้ายกับการให้น้ำเกลือ) ให้ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งหลักการทำงานของคีเลชั่น คือการใช้ตัวยาที่เป็นอีกประจุหนึ่งของโลหะหนัก ให้ดึงประจุของโลหะหนักออกมา และขับออกทางปัสสาวะ คีเลชั่นจะเข้าไปดึงได้ถึงโลหะหนักที่สะสมในกล้ามเนื้อ กระดูกข้อต่อ ไขมัน และระบบประสาท

สำหรับการทำคีเลชั่นนั้น นพ.พัฒนจัก แนะนำว่า มันคือการแพทย์ทางเลือก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หากในช่วงที่มีการสัมผัสกับสารอันตรายเหล่านี้มาก ก็จะมีการประเมินสุขภาพ ถ้ากรณีมีการสัมผัสสารพิษรุนแรงยิ่งยวด 3 วันทำ 1 ครั้ง สัมผัสมากก็สามารถทำคีเลชั่นได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าไม่หนักมาก 1 เดือนต่อครั้งก็ได้  ผลกระทบจากการทำคีเลชั่นคืออาจมีอาการไข้และปวดเมื่อยหลังจากช่วงเข้ายาประมาณ 12-24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ คีเลชั่นเป็นสิ่งที่พูดถึงมากในส่วนของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือถูกนำมาใช้ในพื้นที่ที่มีสารพิษเยอะ เช่น ห้วยคลิตี้ ซึ่งมีสมาคมแพทย์บูรณาการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ชุมชน หรือมีการสนับสนุนให้ใช้การคีเลชั่นในนิคมอุตสาหกรรมที่ระยอง

การทำคีเลชั่น แพทย์ต้องตรวจพิจารณาสภาพร่างกายครับ โดยใช้สารที่มีประจุขั้วตรงข้ามกับโลหะหนัก คือ กรดเอทิลีนไดเอมีนเตตระแอซีติก ( EDTA ) วิตามินซี โซเดียมไบคาร์บอเนต วิตามินบีหก วิตามินบีรวม แมกนีเซียม ใช้เวลาดริฟต์เข้าเส้นเลือดดำประมาณ 40 นาที-1 ชั่วโมง เพื่อการขับพิษออก เป็นเวชศาสตร์ทางเลือกที่น่าสนใจตรงช่วยเรื่องสุขภาพ ช่วยในการชะลอวัย  ทำให้ร่างกายแข็งแรง”

สำหรับผู้สนใจเรื่องการทำคีเลชั่น สามารถสอบถามได้ที่ พัฒนจักคลินิกเวชกรรม ปรึกษา : 098-222-4492 หรือติดต่อทางเพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/pattanajukclinic