ท่ามกลางภาวะการเมืองที่กำลังเข้มข้น ที่เกิดจากความขัดแย้งกันเองภายในพรรคพลังประชารัฐ แม้ “บิ๊กตู่จะสยบทุกความเคลื่อนไหวด้วยการปลดออก 2 รมช. แต่คลื่นใต้น้ำภายในพรรค ยังคงเป็นแรงกระเพื่อมอย่างหนัก

ความสัมพันธ์ “พี่น้อง” จะร้าวลึก ร้าวฉานแค่ไหน? คนข้างนอก…ได้แต่คาดการณ์ เพราะคนที่รู้ดีรู้จริงที่สุด ก็คือ…พี่น้อง เท่านั้น!! ว่าความเป็นจริง เป็นเช่นใด!!

เพราะเวลานี้… การดูแลชีวิต การดูแลปากท้อง คือ…ภาระอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องประคับประคองพาคนทั้งชาติให้รอดพ้นปลอดภัยจากมหันตภัยไวรัสโควิด-19 ให้ได้อย่างดีที่สุด

ต่อให้ความสัมพันธ์แตกสลาย หรือความสัมพันธ์แนบแน่น หากคนไทย “อยู่รอด” ได้ เชื่อเถอะไม่มีใคร “จดจำ” เรื่องความสัมพันธ์กันหรอก หากแต่…อยู่ที่ “ผลงาน” เท่านั้น

อย่างที่รู้กันดี…การเมือง คือเรื่องของการผสานผลประโยชน์ให้ลงตัว ถ้าการเมือง “อิ่ม” ถ้วนหน้า ทุกอย่างก็ “เงียบ” ถ้าตรงกันข้าม ไม่อิ่ม ไม่พอ ก็เป็นอย่างที่เห็น!! ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน จะประชาธิปไตยเต็มใบ ครึ่งใบ หรือแค่เสี้ยวเดียว ก็เป็นเหมือนกันหมด

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก!! ที่บรรดาภาคเอกชน ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ จะสงวนท่าทีในการแสดงความเห็นทางการเมือง แม้ว่าในความเป็นจริงที่อยู่ในใจ!! ล้วนต้องการเห็น “การเปลี่ยนแปลง” ก็ตาม

แต่การ “ส่งเสียง” ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะร้องแรกแหกกระเชอ ออกมาดัง ๆ อาจกลายเป็น “บูมเมอแรง” ซัดกลับจนบาดเจ็บเองก็เป็นไปได้

ดังนั้น…สิ่งที่ทำได้ จึงได้แต่ส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาล เหลียวหลังกลับมาดู กลับมาฟัง ความเดือดร้อนที่คนทั้งชาติกำลังเป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารพัดข้อเสนอ ทั้งจากภาคเอกชน ทั้งจากภาควิชาการ

แม้ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าชีวิตนี้…คง “หนีไม่พ้น” ไวรัสโควิด แน่ ๆ และต่างปรับตัวเข้าสู่การป้องกันตนเองแบบ Universal Prevention หรือการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หรือ ทุกคนต้องอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้

การใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุข ก็ต้องสอดคล้องกับการดูแลเศรษฐกิจ ให้ไปด้วยกันให้ได้ หากหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็มีผลต่อคนไทยทั้งประเทศทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงได้แต่หวังว่า “บิ๊กตู่” จะเปิดทำเนียบ ให้ภาคเอกชนได้เข้าพบ เพื่อนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด รวมทั้งมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้มีหลายมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการไปแล้วก็ตาม

แต่ก็ยังมีอีกหลายมาตรการ ที่รัฐบาลไม่สามารถ “นิ่ง” หรืออยู่เฉย ๆ ได้ โดยเฉพาะ “การอัดฉีดเงิน” เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากพอ เพื่อให้เครื่องยนต์การบริโภคในประเทศนั้นสามารถหมุนให้เศรษฐกิจเดินหน้าให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่หดตัวจนติดลบเข้าให้อีก

อย่าลืมว่า!! ที่ผ่านมา พิษของโควิด ได้ทุบรายได้ของครัวเรือนขาดหายไปแล้วกว่า 2.6 ล้านล้านบาท เงินกู้ของรัฐบาล ก็ยังใส่ลงไปไม่เต็มวงเงิน โดยภาคเอกชนมองว่ารัฐบาลต้องใส่เงินลงไปอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมกับรายได้ของครัวเรือนที่ขาดหายไป

ปัญหา? อยู่ตรงที่ว่า ถ้ายิ่งช้า ปล่อยลากยาวไปจนถึงปีหน้า เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะสตาร์ตไม่ติด เพราะ ภาคธุรกิจล้มหายจะล้มหายตายจากไปอีก เพราะทนพิษไม่ไหวโดยเฉพาะรายเล็ก รายย่อย

ขณะเดียวกันแม้เวลานี้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ยังไม่ได้ไฟเขียวการเปิดประเทศในสเต็ป ที่ 2 อีก 5 จังหวัด อย่างเป็นทางการ ด้วยเพราะสถานการณ์การติดเชื้อยังสุ่มเสี่ยงต่อการทำ “นิวไฮ” ของผู้ติดเชื้อที่อาจพุงไปถึง 30,000 คน

แต่ “บิ๊กตู่” ยังคงยืนยันการเปิดประเทศใน 120  วัน ที่ได้เริ่มต้นจากโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ มาแล้ว ซึ่งภาคเอกชนเอง…ต่างต้องการให้เปิดประเทศให้ได้ เพื่อที่ภาคธุรกิจจะได้กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ จะได้มีรายได้ เศรษฐกิจได้หมุนเวียน ที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน ที่สำคัญ ต้องไม่มีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นอีก

ทุกวันนี้!!!ว่ากันว่า เรายัง “กินบุญเก่า” กันอยู่จากการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดไม่ได้พุ่งพรวดพราด โดยต้องรอดูสถานการณ์กันในสัปดาห์หน้ากันอีกครั้ง

หากบุญเก่ายังอยู่!! แล้วต่อด้วย “บุญใหม่” รวมกับ “ผลงาน” ที่อาจไม่เข้าเป้าแต่ถ้า “ได้ใจ” โดยเฉพาะถ้าคนทั้งประเทศกลับมาลืมตาอ้าปากได้เชื่อเถอะ!! ในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาล ก็จะเป็นที่ “จดจำ”

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”