การตรวจคัดกรองโรค เป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจำแนกผู้ป่วยให้ได้รับการวินิจฉัย และรักษาก่อนที่จะแสดงอาการของโรค ก่อนจะลุกลามจนรักษายาก เรื่องนี้ นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านโรคปอด โรงพยาบาลวชิรพยาบาล บอกว่า การตรวจคัดกรอง มีทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการทดสอบอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะคัดกรองความจำเพาะต่อโรคอะไร

ทั้งนี้โรคมะเร็งปอดยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ และเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประชากรโลก โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 พบว่า มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยมากที่สุดในโลก และจนกระทั่งในปีล่าสุด

ในปีค.ศ. 2019 พบว่า มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดมากถึง 140,000 คน ในสหรัฐอเมริกา โดยโอกาสรอดชีวิตที่ 5 ปีของโรคมะเร็งปอดขณะพบโรคนี้มีเพียงแค่ 19% เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากพบในระยะแพร่กระจายเป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยหลายรายที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ไม่สามารถคัดกรองโรคมะเร็งปอดในระยะต้น ๆ ได้อาจเป็นเพราะการตรวจสุขภาพนั้นเป็นแบบกว้าง ซึ่งอาจไม่ละเอียดเพียงพอหรืออาจเกิดจากผู้ป่วยไปตรวจตอนที่มีอาการแล้ว เช่น ไอหรือเหนื่อย ซึ่งมักจะพบในโรคมะเร็งปอดระยะท้าย ๆ ทำให้โอกาสการรอดชีวิตค่อนข้างตํ่า จากข้อเท็จจริงนี้ส่งผลทำให้เริ่มมีการส่งเสริมการคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งปอดมากขึ้น

จากรายงานการวิจัยของสมาคมนานาชาติมะเร็งปอด (international association for the study of lung cancer: IASLC) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการทำเอกซเรย์ปกติ กับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในกลุ่มประชากรที่ความเสี่ยงพบว่าการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สามารถพบมะเร็งปอดได้ดีกว่าการทำเอกซเรย์ปกติ(rate ratio 1.13: 95% confidence interval, 1.03 to 1.23) และยังสามารถทำให้ลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากมะเร็งปอดในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง ได้ถึง 20%

โดยข้อดีของการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คือ 1.ปริมาณรังสีน้อยกว่าเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปกติน้อยกว่าปกติ CT chest 5 เท่า (เท่ากับเอกซเรย์ปกติ 15 ใบ ) 2.ใช้เวลาทำน้อยกว่า 1 นาที 3. ไม่มีการฉีดสี 4. ไม่ต้องตรวจค่าไต และ 5.ระดับรังสีจะลงมาเป็นปกติภายใน 6 เดือน

ทั้งนี้จากคำแนะนำจากสมาคมกลุ่มโรคมะเร็งปอดนานาชาติ ในปีค.ศ. 2021 ได้แนะนำให้ กลุ่มที่มีความเสี่ยงควรทำ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอดเป็นประจำปีปีละ 1 ครั้ง จนถึงอายุ 77 ปี และไม่แนะนำให้ทำการเอกซเรย์ปอดปกติในการคัดกรองความเสี่ยงของมะเร็งปอด

ดังนั้น กลุ่มที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดกรองอาการได้แก่ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ 1.คนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป 2.กำลังสูบบุหรี่ หรือเคยสูบบุหรี่ระยะเวลาเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีและมากกว่า 1 ซองต่อวัน ยกตัวอย่างเช่น สูบบุหรี่มา 10 ปี เฉลี่ยวันละ 2 ซอง หรือสูบบุหรี่มา 20 ปี เฉลี่ยวันละ 1 ซอง หรือมีประวัติเสี่ยง เช่น ทำในโรงงานโลหะหนักหรือมีประวัติครอบครัวสายตรงเป็นโรคมะเร็งปอด

สำหรับประโยชน์ของการคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งปอด นอกจากจะลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดแล้ว ยังสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและเพิ่มโอกาสการเจอโรคอื่น ๆ นอกจากมะเร็งปอดที่ต้องได้รับการรักษา

“เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งตรวจพบได้เร็ว ยิ่งเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต”.

คอลัมน์ : คุณหมอขอบอก

เขียนโดย : อภิวรรณ เสาเวียง