ช่วงนี้ข่าวหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก คือข้อกล่าวหาว่า นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี และนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม.เขตจอมทอง พรรคก้าวไกล มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ .. ซึ่งการดำเนินการของพรรคก้าวไกลก็ถือว่ารวดเร็ว จากการที่นายวุฒิพงศ์สัมภาษณ์ว่าเรื่องของเขาใช้เวลาสอบแค่ 22 วันพรรคก็มีมติ ..มีคนมองว่าพรรคก้าวไกลทำ“บาร์สูง” สำหรับเรื่องการคุกคามทางเพศ และจะเป็นบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองอื่นๆ ต่อไป …

แต่อีกส่วนหนึ่งเขาก็บอกว่าพรรคที่บาร์สูงจริงคือพรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก  เพราะพอมีข่าวการคุกคามทางเพศ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ผู้ถูกกล่าวหาก็ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดนโทษจำคุกโดยพรรคไม่ได้ช่วย แถมหลังเกิดเรื่อง พรรคแถลงขอโทษผู้เสียหาย กรรมการบริหารพรรคผู้หญิงบางคนลาออกแสดงความรับผิดชอบ…ขณะที่ทางพรรคก้าวไกล เขาว่ากลับโยนให้เป็นเรื่องผู้ถูกกล่าวหาขอโทษต่อสังคม และชดเชยเหยื่อเอง และผู้ถูกกล่าวหาอย่างนายไชยามพวานแถลงออกมาก็เรียกได้ว่า “บ้ง” คือขนาดบิ๊กเนมในพรรคหลายคนรับไม่ได้ เห็นว่า “ไม่มีความจริงใจและมีลักษณะเหมือนจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผู้เสียหายซะอีก”

และการมีมติก็มีปัญหา เพราะกับนายวุฒิพงศ์ หรือแจ้ พรรคมีมติเสียงถึง 3 ใน 4 ของ สส.และกรรมการบริหาร ( กก.บห.) พรรค แต่กรณีนายไชยามพวานที่มีการเปิดเผยต่อมาว่า เหยื่อคนแรกเมาแล้วถูกกระทำอย่างไม่เต็มใจ ซึ่งเรียกว่าหนักกว่ากรณีของนายวุฒิพงศ์ ปรากฏว่า อยู่ๆ ก็เกิดอะไรไม่ทราบที่ทำให้เสียงในที่ประชุมไม่ถึง 3 ใน 4 ทำให้มีมติขับนายไชยามพวานหรือปูอัดพ้นพรรคไม่ได้  ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ สส.หญิงบางคนเก๊กซิมไปพอสมควร อย่าง นส.รัชนก ศรีนอก สส.กทม.เขตบางบอน และ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.เขตสายไหม น.ส.ภัสริน รามวงศ์ สส. กรุงเทพ เขตบางซื่อ แสดงความไม่พอใจ ..ขนาดทนายแจมไปน้ำตาไหลออกรายการทีวีทำนองว่า “เสียใจที่ทำดีกว่านี้ไม่ได้”

แล้วก็เกิด“กามเอฟเฟค” ตามมาคือ สังคมถามหารายชื่อของ สส.หรือ กก.บห.พรรคที่อุ้ม นายปูอัด แม้ทางพรรคพยายามเบรกกระแสบอกไม่อยากให้ล่าแม่มด แต่เขาก็อยากรู้ว่า “พวกมีความคิดแบบชายเป็นใหญ่มีใครบ้าง” เพราะอย่างว่า..พรรคก้าวไกลตั้งบาร์สูงเรื่องคนเท่าเทียมกัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เห็นคนเท่าเทียมกัน เห็นชายเป็นใหญ่ ก็ควรถูกประณามด้วย … และในกรณีของนายวุฒิพงศ์ หลังถูกขับออกก็เปิดเกมทุบกลับ โดยแฉว่า ผู้ช่วย สส.ในสัดส่วน กก.บริหารพรรคคนหนึ่ง  ชื่อย่อ ส. มีปัญหากับนายวุฒิพงศ์ เรื่องผู้ช่วย สส.รายนี้เรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทบ่อกำจัดขยะ ..แม้ว่านายวุฒิพงศ์จะส่งหลักฐานให้พรรคเอาผิดตั้งแต่เดือน ก.ค. ก็เงียบ แต่กับเรื่องของนายวุฒิพงศ์ สอบ 22 วันฟันโชะ ขับพ้นพรรค..

เช่นนี้มีการเมืองในพรรคหรือไม่ ว่าใครเด็กใคร ..และจะลามไปถึงการตรวจสอบว่าพรรคก้าวไกลอุ้มคนผิดหรือไม่ โดยเริ่มจาก สส.มุ่ง หรือนายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) ประธาน กมธ.อุตสาหกรรม จะเรียกผู้เกี่ยวข้องกับโครงการบ่อขยะที่มีปัญหาขึ้นมาสอบ ..ขณะที่ สส. 2 คนที่ถูกกล่าวหาเรื่องคุกคามทางเพศ ตัวนายปูอัดยังนิ่งอยู่ แต่นายวุฒิพงศ์ตั้งทนายเตรียมสู้คดีแล้ว คาดว่าน่าจะฟ้องเรื่องกรณีมติพรรคไม่เป็นธรรม และไม่ได้มีพฤติกรรมไปตามที่ถูกกล่าวหา .. ขณะที่ฝ่ายนักร้องก็เคลื่อนไหวยื่น ป.ป.ช.ให้สอบเรื่องผิดจริยธรรม

โดยกฎหมายที่ใช้ในการสอบ คือ มาตรฐานทางจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ( มาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ซึ่งใช้กับ สส.ด้วย )  ม.219 กำหนด มีข้อ 20 ระบุว่า “ต้องไม่กระทําการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ จนเป็นเหตุทําให้ผู้ถูกกระทําได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยผู้ถูกกระทําอยู่ในภาวะจําต้องยอมรับในการกระทํานั้น” ซึ่งถ้าผิดจริง ก็ต้องส่งศาลฎีกาดำเนินการถอดถอนหรือตัดสิทธิ์จากความเป็น สส.ต่อไป แล้วแต่ว่าจะตัดสิทธิ์นานแค่ไหน

ที่กล่าวมา มันเป็นประเด็นที่เกิดกับ“คนใหญ่คนโต”เลยเป็นที่สนใจมาก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทั่วทุกภาคในประเทศไทยมีสถิติเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศสูงมาก โดยเฉพาะเหตุเกิดในครอบครัว เอาจริงมีข่าวเรียกได้ว่า แทบไม่เว้นแต่ละวันเรื่องการบังคับข่มขืนในบ้าน พ่อข่มขืนลูกแท้ๆ พ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง ญาติฝ่ายชายข่มขืนเด็ก ซึ่งในลักษณะความสัมพันธ์เชิงอำนาจและแนวคิดปิตาธิปไตย ( patriarchy ) หรือชายเป็นใหญ่ กดให้ผู้หญิง โดยเฉพาะที่ด้อยกว่าทั้งกำลังและฐานะในบ้าน ในสังคม ตกเป็นฝ่ายยอม และที่ตลกร้ายคือ บางกรณีมีเรื่องของ privilege ( สิทธิพิเศษ) เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ ถ้าผู้ก่อการล่วงละเมิดมีอำนาจ มีหน้ามีตาในสังคม เป็นที่ชื่นชอบ หล่อ บางครั้งกลับมีกระแสโทษเหยื่อ ปกป้องผู้กระทำซะอย่างนั้น ..การที่ผู้กระทำใช้อำนาจกดเหยื่อ และผู้กระทำมี privilege ในสังคมด้วย ยิ่งบีบคั้นให้เหยื่อกลัวและต้องตกอยู่ในความเงียบ

ความเงียบ..มันเกิดขึ้นเพราะความกลัวและความอับอาย ความกลัวคือ อย่างที่เรามักจะได้ข่าวว่า เหยื่อถูกข่มขืนที่เป็นเยาวชนถูกขู่ฆ่าถ้าเปิดเผยเรื่อง จนผู้ปกครองผิดสังเกตเองจึงซักไซ้ไล่เลียงจนได้ความและพาไปแจ้งความ ความกลัวที่จะถูกกลั่นแกล้งในสังคม ในหน้าที่การงาน .. ก็ไม่รู้ทำไมเรามีสุภาษิตสอนหญิงแต่ไม่มีสุภาษิตสอนชายให้คำว่า “ชายแท้” ไม่มี sense ของความป่าเถื่อน แต่มี sense แบบ gentleman .. เมื่อไม่สอน ทำให้ผู้หญิงบางคน เมื่อใช้เสรีภาพในร่างกาย เช่นการแต่งตัวให้ตัวเองดูสวย  แล้วโดนละเมิด กลายเป็นถูกสมน้ำหน้าว่า “ไม่เป็นกุลสตรี” ถูกตีตราเป็นนางร่านหรือ slut ..ส่วนความอับอาย มันคือการที่ถ้าสังคมรู้ เหยื่อก็ผวาว่าคนรอบตัวจะรังเกียจ หรือถ้าทำใจกล้ายอมแจ้งความ กระบวนการไต่สวนที่ต้องเล่าเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกทนายของอีกฝ่ายจับผิด ก็ยิ่งเจ็บปวด

ในเรื่อง “คนเท่ากัน”มันเป็นอุดมคติที่เขาสอนกันมานาน มิติหนึ่งคือการเคารพเรื่องเพศ แต่ปัญหาคือ “ยังมีหลายคนไม่อินกับเรื่องนี้” เพราะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการใช้อำนาจ แม้ว่า จะพยายามใช้แนวคิดให้เปรียบเทียบว่า “ถ้าคุณเองเป็นฝ่ายโดนล่ะ” ก็ไม่อิน ..การสอนเพศศึกษาสมัยใหม่ นอกจากการสอนเรื่องระบบสืบพันธุ์ กามโรคแล้ว ยังต้องสอนเน้นๆ แต่เด็กเรื่องการให้เกียรติและการเคารพทางเพศต่อกันและกันด้วย  สอนตั้งแต่ก่อนถึงวัยที่มีความต้องการทางเพศไปเลยให้เข้าใจเรื่องความยินยอมพร้อมใจ ( consent ) ว่าเป็นอย่างไร

อ้างอิงจากหนังสือ consent. เพศศึกษากติกาใหม่ เขียนโดย Jennifer Lang แปลโดยธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ  สำนักพิมพ์บุคสเคป ในบทที่ 3 ของหนังสือ ว่าด้วยความยินยอมพร้อมใจ ว่า “ความยินยอมพร้อมใจเกิดขึ้นได้เมื่อมี“ความสามารถ”ในการรับรู้และเข้าใจที่จะให้ความยินยอมเสียก่อน” ปัจจัยของการให้ความยินยอมพร้อมใจคือ 1.อายุ ซึ่งเข้าใจว่า น่าจะหมายถึงวุฒิภาวะในการประเมินผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ตามมา กฎหมายเรื่องอายุและความยินยอมต่างกันไปตามแต่ละประเทศ อย่างเช่น ประเทศไทยสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตอนอายุเกินกว่า 17 ปีบริบูรณ์โดยผู้ปกครองยินยอมพร้อมใจ ซึ่งหนังสือแนะนำว่า เลือกคนที่อายุใกล้เคียงจะดีที่สุด ( นัยว่า หากเจอแก่กว่ามากมาจด มีโอกาสเป็นการล่อลวง )

2.ความสามารถ ต้องประเมินว่า ทั้งเราและอีกฝ่ายมีความสามารถทางสติปัญญาเท่ากันหรือไม่ หากไร้ความสามารถอย่างรุนแรงอาจไม่เข้าใจพอจะให้ความยินยอมทางเพศได้ หรือกรณีมีความบกพร่องทางพัฒนาการ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบกับหมอหรือผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบก่อนมีความสัมพันธ์ทางเพศ

3. อำนาจ คือ 2 ฝ่ายมีความเท่าเทียมกันในด้านการต่อรอง สามารถปฏิเสธสิ่งที่ไม่ยอมรับได้ เช่นการขืนใจ หรือการใช้รสนิยมทางเพศบางอย่าง แล้วจะไม่ส่งผลกระทบในแง่ลบตามมา ถ้าคนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเรา เป็นคนที่สามารถให้คุณให้โทษ เช่น ครู เจ้านาย ผู้มีอำนาจใหญ่โตในสังคม อาจทำให้เกิดเพศสัมพันธ์ที่บังคับ หรือต่อรองผลประโยชน์ และจะเกิดความเจ็บปวดทางใจระยะยาวกับผู้ถูกกระทำ

4. การใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติด ปัจจุบันเรื่องนี้ระบาดมาก และยาเสพติดอาจส่งผลกระทบต่อระดับสติสัมปชัญญะในการตัดสินใจในการมีเพศสัมพันธ์ขณะนั้น แต่อย่างที่ว่า คือมันน่าเศร้าที่ยาเสพติดระบาดมาก เท่าที่สังเกตดูกระแส ตั้งแต่ในช่วงกักตัวโควิดนี่มีการแอบนัดผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ กันเยอะ เป็นการนัดมีเพศสัมพันธ์โดยมีการใช้ยาเสพติด หรือเขามีโค้ดว่า “นัดไฮ” ( น่าจะมาจากคำว่า hight คือ เหมือนอารมณ์ความต้องการขึ้นสูงจากการใช้ยา ) ซึ่งเมื่อมีการล่อลวงไป บางครั้งเกิดการมอมยาก่อนแล้วถึงมีการล่วงละเมิดทางเพศแบบไม่เป็นไปตามข้อตกลง เช่น ไม่ใส่ถุงยางอนามัย เรียกคนอื่นมารุม แล้วก็กลายเป็นการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งตอนนี้ HIV เหมือนจะกลับมาระบาดในหมู่วัยรุ่นเสียด้วย เพราะการใช้ยาเสพติดแบบเข็มวนก็มีส่วนมาก

แล้วลักษณะไหนที่เรียกว่ายินยอมพร้อมใจ ? เอาที่ง่ายที่สุด คือการยินยอมด้วยวาจา จากการศึกษาอีกฝ่ายมาระยะหนึ่งว่า การมีเพศสัมพันธ์ไม่มีเรื่องการเอาเปรียบหรือละเมิดข้อตกลง และถ้ามีการละเมิดสามารถหยุดได้ทันทีพร้อมผู้ที่ละเมิดจะต้องทำการขอโทษหรือชดเชย  การยินยอมด้วยวาจาต้องเป็นลักษณะที่ไม่กระอักกระอ่วน ตัดสินใจถ้วนถี่ ส่วนการใช้อวัจนภาษานั้น มันยังมีปัญหาการตีความของบางคนอยู่ ทำนองว่า “อีกฝ่ายแสดงท่าทีแบบนี้แล้ว เราไปต่อได้หรือไม่” และย้ำว่า ความยินยอมนั้นไม่ใช่สัญญาผูกมัดว่าจะทำอะไรก็ได้ เช่น ถ้าขอไม่ใช้ปาก ก็ไม่ใช่ว่าอารมณ์พาไป อีกฝ่ายยุจนต้องยอม เราต้องไม่ฝืนทำถ้ารู้สึกว่า “มันไม่ถูกต้องแล้ว” โดยส่งสัญญาณต่างๆ เช่น ไม่ตอบสนอง หรือบอกให้หยุด หรือร้องไห้ อีกฝ่ายต้องเคารพการไม่ยินยอมด้วย  

เราพยายามพูดถึงเรื่องความยินยอมพร้อมใจ ( consent ) กันมาพอสมควร แต่ตราบใดที่แนวคิดปิตาธิปไตยยังสถาปนาตัวเองอย่างเข้มแข็งอยู่  แนวคิดโทษเหยื่อยังคงมี ปัญหามันก็ไม่จบสิ้น มันต้องสร้างทัศนคติในเรื่องเพศที่ดีให้ได้

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”