ถามกันมากว่า ปีนี้น้ำจะท่วมภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล เหมือนปี 54 หรือเปล่า? ตอบว่าไม่หนักเหมือนปี 54 เพราะปริมาณน้ำขนาดนี้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการได้ ถ้าไม่ทำงานกันแบบเช้าชามเย็นชาม

ย้อนไป 3 ก.ค. 54 มีการเลือกตั้ง จากนั้น 8 ส.ค. 54 มีโปรดเกล้าฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ได้มีพายุ “ไหหม่า” เข้ามาเยือนภาคเหนือ ภาคอีสาน ตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย. 54 ตามด้วย “นกเตน-ไห่ถาง-เนสาด” และพายุลูกสุดท้าย “นาลแก” ช่วง 5-7 ต.ค. 54

เมื่อเจออิทธิพลพายุแบบตรง ๆ และเฉี่ยว ๆ 5 ลูก ทำให้มีน้ำในเขื่อน และน้ำทุ่ง น้ำท่าเต็มไปหมด โดยเฉพาะเขื่อนที่มีผลต่อภาคกลาง คือเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนแควน้อยฯ จ.พิษณุโลก และเขื่อนป่าสักฯ จ.ลพบุรี

ข้อมูล 9 ต.ค. 54 เขื่อนภูมิพล ระบายน้ำออกมา 100 ล้าน ลบ.ม. (ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 13,360 ล้าน ลบ.ม. เหลืออีก 102 ล้าน ลบ.ม. เต็มความจุเขื่อน! เนื่องจากมีน้ำไหลเข้าเขื่อนวันละกว่า 110 ล้าน ลบ.ม.

ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ ระบายน้ำ 55 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยฯ 21 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนป่าสักฯ 77 ล้าน ลบ.ม. สรุปว่า 4 เขื่อนพร้อมใจกันระบายน้ำลงมาสู่นครสวรรค์-พระนครศรีอยุธยา วันละ 251-267 ล้าน ลบ.ม. (7-9 ต.ค. 54) มากที่สุด 6 ต.ค. 54 ปล่อยน้ำออกมามากถึง 302 ล้าน ลบ.ม.

ถามว่าปล่อยน้ำเกินวันละ 251 ล้าน ลบ.ม. มันมากขนาดไหน? ลองนึกภาพเปรียบเทียบถ้าเคยไปเที่ยวเขื่อนขุนด่านฯ จ.นครนายก มีความจุ 224 ล้าน ลบ.ม. พูดง่าย ๆ ว่าแต่ละวัน ปล่อยน้ำออกมามากกว่าน้ำในเขื่อนขุนด่านฯ หมดเขื่อน

หรือเปรียบเทียบกับ “อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร” อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา มีน้ำเต็มอ่างแค่ 40 ล้าน ลบ.ม. แต่ทางราชการยังต้องประกาศเตือนพื้นที่ใกล้เคียง 10 อำเภอ ให้เตรียมรับมือ และพร้อมอพยพผู้คนกรณีฉุกเฉิน

ข้อมูล 29 ก.ย. 54 เขื่อนภูมิพลมีน้ำ 92% เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำ 99% เขื่อนแควน้อยฯ มีน้ำ 93% เขื่อนป่าสักฯ มีน้ำ 135% แต่ 29 ก.ย. 64 เขื่อนภูมิพล มีน้ำแค่ 48% เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำ 43% เขื่อนแควน้อยฯ มีน้ำ 87% เขื่อนป่าสักฯ มีน้ำ 99% ของความจุ

สรุป น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ปุ๊บ! ปริมาณน้ำใกล้จะเต็มเขื่อนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงน้ำใต้เขื่อน ตามห้วย หนอง คลอง บึง ตามทุ่ง และในแม่น้ำใกล้จะล้นตลิ่ง เป็นนายกฯ ยังไม่ทันตั้งตัว แต่เจอน้ำท่วมใหญ่ทันที จากปัจจัยในข้างต้น

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจมากล้น! มีงบมากมาย มีเวลาตั้งหลัก 7 ปี แต่ไม่ทำโครงการอะไรไว้อย่างเป็นระบบเลย! จึงมีภัยแล้งซ้ำซาก น้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ทุกปี และ พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่พูดจาฮาเฮ รัฐบาลเตรียมหาห้องเย็นไว้ให้ชาวบ้านทำประมง เลี้ยงปลาช่วงน้ำท่วม จะเช่านา-ไร่ไว้เก็บน้ำ ปีนี้ไปสุโขทัยบอกต้อง “สวดมนต์” ให้พายุเข้าลูกเดียวพอ

ถ้าเช่นนั้นคนภาคใต้ควร “สวดมนต์” ล่วงหน้า! เลย เดือน ต.ค. พายุมรสุมเริ่มมาภาคใต้ แล้วเราไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำ
การบ้านก่อนลงพื้นที่หรือไม่? หาข้อมูลกรมอุตุฯ และจิสด้า (GISTDA) บ้างหรือเปล่า เพื่อไปบอกชาวบ้านอย่างเป็นระบบ

แต่ไม่ใช่ไปเพื่อหา “มิตร” ทางการเมืองนะ? แล้วพูดกับชาวสุโขทัย “นายกฯ มาให้กำลังใจ ไม่ได้มาทำให้ทุกคนรัก จะรักไม่รักก็เรื่องของพวกเรา นายกฯ ทำให้ดีที่สุดในนามคณะรัฐมนตรี ขอให้ทุกคนโชคดี กลับบ้านดี ๆ ระวังงูในน้ำ”

จะให้ชาวบ้านรักนายกฯ ได้อย่างไร? เพราะเจอภัยแล้ง น้ำท่วมซ้ำซากทุกปี ตอนรัฐบาลมีเงินก็โยนให้หน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีเครื่องจักรกลหนัก ไปขุดลอกคูคลองกว่า 2 พันล้านบาท ทำไปทำมา “สตง.” ต้องเบรก! เพราะมีการร้องเรียนเรื่อง “จ้างช่วง-เช่าช่วง” หลายโครงการ และปีนี้เห็นว่าจะประเคนงบให้กระทรวงทรัพยากรฯ ขุดลอกคูคลองอีก!

อยู่มา 7 ปี มีเวลา มีงบเหลือเฟือ แต่ไม่มีโครงการเป็นชิ้นเป็นอัน พอน้ำท่วมบอกให้ “สวดมนต์” เวรกรรมของคนไทย!!.

—————————
พยัคฆ์น้อย