ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในเวลานี้มีอยู่ 2 เรื่อง คือ หนี้ครัวเรือนสูง และ “วิกฤติกำลังซื้อ” เป็นปัญหาเรื้อรังต่อเนื่องกันมา 10 ปี นับตั้งแต่มีการรัฐประหารเดือน พ.ค. 57

เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ “จีดีพี” ของประเทศไทย เติบโตต่ำรั้งท้ายในอาเซียน คือเฉลี่ยไม่ถึง 2% ต่อปี ล่าสุดปี 66 จีดีพีขยายตัวแค่ 1.9% คนไทยส่วนใหญ่ทำงานหารายได้ไม่ทันกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น โดยรายได้หรือเงินในกระเป๋า โตไม่ทันกับหนี้สินครัวเรือน

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 67 ธนาคารโลกปรับลดประมาณการจีดีพีของไทยในปี 67 เหลือเติบโตแค่ 2.4% (ยังไม่รวมโครงการจิดิทัลวอลเล็ต) จากประมาณการเดิมที่ 3.2% โดยมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวของการค้าโลก และการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 67 ล่าช้า! ทำให้การลงทุนภายในประเทศชะลอตัว

รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จึงต้องเร่งเติมเงินในกระเป๋าของประชาชน ผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ 5 มาตรการ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปเมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา

ด้วยการลดค่าโอน-จดจำนอง-ขยายราคาบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท พร้อมลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าจ้างก่อสร้างบ้านขึ้นใหม่ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึง 31 ธ.ค. 67 คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดันยอดซื้อ-ขาย ให้เพิ่มขึ้น 8 แสนล้านบาท ปั่นจีดีพีปี 67 โตกว่า 4% เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์-แต่งบ้านแต่งสวน-แรงงาน-สถาบันการเงิน

ถัดมา 10 เม.ย. นายเศรษฐาแถลงโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ตามที่เคยหาเสียงและแถลงเป็นนโยบายการทำงานต่อสภา โดยให้สิทธิ 50 ล้านคน (อายุเกิน 16 ปี ในวันที่ลงทะเบียน รายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท) รวมวงเงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้เงินหมุนเวียน บรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง สร้างโอกาสประกอบอาชีพ

ทั้งนี้จะเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ภายในไตรมาส  3 (ก.ค.-ก.ย.) เริ่มใช้จ่ายได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 67 โดยกระทรวงการคลังจะนำมติที่ได้รับความเห็นชอบเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาภายในเดือน เม.ย.นี้

“พยัคฆ์น้อย” เป็นลูกหลานคนต่างจังหวัด จึงเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ตื่นเต้นกับโครงการดังกล่าว ยกเว้นคนที่มีรายได้เดือนละเป็นแสนบาทอย่าง “ศิริกัญญา ตันสกุล” สส.ก้าวไกล คงไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่! เพราะที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อสงสัยไปในทาง “ด้อยค่า” โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาโดยตลอด!

ดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ทำแค่ครั้งเดียว! ถ้ารัฐบาลอยู่ 4 ปี คือเฉลี่ยปีละ 125,000 ล้านบาท น้อยกว่าโครงการแจกเงินผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท ของพรรคก้าวไกล ถ้ามีผู้สูงอายุ 12 ล้านคน ต้องใช้เงินปีละ 432,000 ล้านบาท

เมื่อไหร่? “ศิริกัญญา” เป็น รมว.คลัง และพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ก็คงจะมึนตึ้บ! เพื่อหาเงินปีละ 432,000 ล้านบาท มาแจกจ่ายผู้สูงอายุ (ถ้าไม่เบี้ยว)

………………………………..
พยัคฆ์น้อย

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…