โดยพรรคก้าวไกลได้ทยอยเปิดตัวผู้สมัครนายกอบจ.ไปแล้วหลายจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ วันนี้ “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับแม่ทัพคนสำคัญ“พิธา ลิ้มเจิรญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่ามีแนวทางนำชาวด้อมส้มชิงชัยในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างไร

โดย“พิธา” เปิดประเด็นในการประกาศชิงชัยลุยสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ว่าที่ผ่านมามี จ. ภูเก็ต อุดรธานี เชียงใหม่ ที่ชัดเจนแล้วว่าเราเปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ผมก็ได้ขึ้นไปช่วยหาเสียงบ้างแล้ว และพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ ก็อาจจะติดตามได้จากสื่อท้องถิ่น เช่น จ.ตราด ลำพูน ก็พอจะเห็นตัวบ้างแล้ว ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยเปิดตัว ในช่วงของการสื่อสารก็ต้องขอให้สื่อมวลชนเป็นตัวช่วยในการสื่อสารกับพี่น้องประชาชน คือการเลือกตั้ง อบจ.มีความสำคัญ  ไม่แพ้การเลือกตั้งใหญ่อย่างปีที่แล้ว และมีความแตกต่างกันด้วย

ดังนั้นเราต้องใช้ช่องทางในการอธิบาย ว่า งบ อบจ.เลือกตั้งกันทุกจังหวัด ยกเว้น กทม. และปีที่ผ่านมาท้องถิ่นมีงบประมาณทั้งหมดกว่า 7 หมื่นล้านบาท เป็นภาษีของพี่น้องประชาชนที่ อบจ.เอาไว้แก้ปัญหาใกล้ตัว เรื่องเกี่ยวกับถนนหนทาง น้ำประปา โรงเรียน โรงพยาบาล ที่อบจ.มีอำนาจในการบริหารจัดการ  ยกตัวอย่างทั้ง ภูเก็ต เชียงใหม่ และอุดรฯ ที่เราได้พูดคุยไปแล้วมีงบประมาณหลักพันกว่าล้านทั้งนั้น จึงเป็นเงินมากมายพอสมควรที่จะสร้างความแตกต่างให้กับประชาชนที่ในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ด้วย

สิ่งที่อยากจะสื่อสารต่อก็คือในเรื่องของคนมาใช้สิทธิ์น้อย ถ้าเป็นการเลือกตั้ง สส.ในเดือน พ.ค.66 มากัน 76 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงว่าคนไทย 100 คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง มาใช้สิทธิ์กัน 76 คน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคที่นำทัพเข้ามาทำให้การเมืองมีสีสัน ทำให้ประชาชนเดินทางมาเลือกตั้ง ทำให้มีคนเลือกตั้งจากต่างประเทศ มีการเลือกตั้งข้ามจังหวัด มีการเลือกตั้งล่วงหน้า

ในขณะเดียวกันการเลือกตั้ง อบจ. ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน  แต่คนมาใช้สิทธิ์น้อย ซึ่งความแตกต่างคือไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า ไม่มีการเลือกตั้งข้ามเขต ตรงนี้จึงทำให้คนมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงน้อย ผมคงต้องใช้เวลารณรงค์อธิบายให้กับประชาชนเข้าใจว่า งบประมาณ อบจ.มันใกล้ตัว ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้เลย และเป็นงบประมาณจำนวนมาก มีความสำคัญ ดังนั้นต้องเชิญชวนให้ทุกคนมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้ง อบจ.ในปีหน้า คาดว่าจะเป็นไตรมาสแรก ขึ้นอยู่กับ กกต.จะตัดสินใจให้เลือกเมื่อไร  

“นี่คือภาษีของท่าน นี่คือคนที่จะมีโอกาสมาแก้ไขปัญหาได้ง่ายกว่า สส.เพราะว่า สส. ไม่มีงบ อบจ.มีงบเป็นพันกว่าล้านในการแก้ไขปัญหา เรื่องสาธารณะสุข สิ่งแวดล้อม การศึกษา เศรษฐกิจ อบจ.ก็มีส่วนที่จะช่วย ในภาพใหญ่คือต้องเชิญชวนคนมาใช้สิทธิ์เลือก อบจ.กันเยอะ ๆ”

@กระบวนการวางทัพผู้สมัครอบจ.ของพรรคก้าวไกลมีการคัดเลือกอย่างไร

สำหรับการคัดเลือกและวิธีคิดรวมๆ ของการเลือกตั้ง อบจ.ของเราสั้นๆ เลยก็คือว่า ชนะแล้วต้องเปลี่ยน ไม่ใช่แค่ชนะอย่างเดียว เพราะว่าคิดว่าถ้าชนะอย่างเดียว ต้องบอกให้เห็นภาพก่อนว่าในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่การเลือกตั้งท้องถิ่นปี 62 และการเลือกตั้งใหญ่ปี 66 ที่ผ่านมาเราเก็บข้อมูลสถิติไว้หมด ผมคิดว่าเราเป็นพรรคการเมืองระดับชาติที่ไม่ได้มีภาคใดภาคหนึ่ง คราวที่แล้วเราชนะได้ สส.เขตทุกภาค ในเชิงบัญชีรายชื่อเรามีหัวเชื้อของคะแนนทั้งคะแนนทั้ง 76-77 จังหวัด คือ หมายความว่าเราไม่มาเป็นที่ 1 ก็มาเป็นที่ 2 เราไม่มีมาเป็นที่ 3 ในจังหวัดไหนเลย

จังหวัดที่คิดว่ามีนักการเมืองที่มีอิทธิพล มีระบบอุปถัมภ์อะไรก็แล้วแต่ อย่างจังหวัดในอีสานใต้ หรือจังหวัดในภาคใต้ ที่คิดว่าก้าวไกลไม่น่าจะชนะ ก้าวไกลชนะหมด ดังนั้นถ้าแค่จะให้ชนะมันต้องส่งเยอะๆ ถูกหรือไม่ จึงจะสามารถชนะได้ ส่งที 40-50 จังหวัด แค่หาใครมาก็ได้แล้วก็เอาลงไปเลย เพราะว่าจังหวัดนั้นมีมันหัวคะแนน อย่างที่ สุราษฎร์ธานีก็ 2-3 แสนคะแนน บุรีรัมย์ ก็ 3-4 แสนคะแนน มันมีหัวเชื้อยู่

แต่วิธีคิดของพวกเราคือคุณภาพมาก่อนจำนวน เรายินดีที่จะส่งแค่หลัก 10 จังหวัดต้นๆ แล้วชนะให้เยอะจากจำนวนที่ส่งนั้น  และสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงนำคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับพี่น้องประชาชนได้ สั้นๆ เลยก็คือคุณภาพมาก่อนปริมาณ ถ้าจะทำได้นั้น อันที่หนึ่งก็คือว่ามันเป็นจังหวัดที่มีปัญหาเยอะ มีงบประมาณเยอะแต่ใช้ได้ยังไม่ดีพอ เราก็มีคนที่เป็นตัวลงที่เราเชื่อใจได้ว่ามีอุดมการณ์ตรงกันและมีประสิทธิภาพในการทำงาน ยกตัวอย่าง ภูเก็ตก็ได้เป็นคุณหมอ นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล ซึ่งงบ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของภูเก็ตเป็นงบสาธารณสุข จะเอาใครที่ไม่เหมาะไปกว่านี้มาแก้ปัญหา

ถ้าเราสามารถแสดงให้เขาเห็นว่าเราจะมีนายกอบจ.ที่เข้าใจคนนอกและใส่ใจคนใน ดูแลนักท่องเที่ยวและคนภูเก็ตไปพร้อมๆ กัน ก็จะสามารถที่จะชนะด้วย และเปลี่ยนด้วย แต่ถ้าเกิดชนะแล้วคุมไม่ได้ 40 กว่าคน แต่ละคนไปคนละทิศคนละทาง คุมอะไรไม่ได้เลย สรุปแล้วเราก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ประชาชนจับต้องอะไรไม่ได้ นายกอบจ.ส้มแล้วทำไมยังแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างนั้นผมคิดว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องการ ในขณะเดียวกันจะกระทบกลับมาที่ภาพใหญ่ของความเป็นก้าวไกลของพวกเรา หลักคิดจึงเป็นอย่างนี้  จึงไม่ได้ซีเรียสว่าต้องเอาจำนวนเท่าไร หรือต้องเปิดตัวเยอะๆ ได้นายก อบจ.เยอะ เราต้องการใช้งบเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจับต้องได้จริงๆ

ดังนั้นต้องให้ผมชนะให้ได้ก่อน แล้วก็ให้พวกผมคนทำงานแบบรุ่นใหม่เข้าไปพิสูจน์ คำว่ารุ่นใหม่ไม่ได้หมายถึงอายุเลย นายกอบจ. บางคนก็ 60-70 ปีก็มี แต่ว่ามันคือวิธีคิดแบบใหม่  เอาสาธารณะมาก่อนส่วนตน และไม่คอร์รัปชันสักบาท และสามารถใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไรบ้าง  ซึ่งเราพอพิสูจน์ได้บ้างแล้วกับนายก อบต. เช่น อาจสามารถที่ร้อยเอ็ด เราได้พิสูจน์ให้คนเห็นว่างบไม่มีเราก็หางบได้ เราสามารถบริหารให้คนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของนักการเมืองแบบพวกเรา ก็ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่ว่าจะสวาปามแล้วก็เอาให้ชนะเยอะแล้วก็คุมเขาไม่ได้ และคุณภาพก็ไม่มี มันก็ไม่ใช่เป็นแนวทางของพวกผม

@ตัวผู้สมัครที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ไม่เคยเล่นการเมืองมาเลย จะมีปัญหาหรือไม่

ก็เหมือนกับผม ๆ อาจจะไม่เหมือนผม 100 เปอร์เซ็นต์ ผมก็พอมีประสบการณ์อยู่ในกระทรวงมาก่อน และเตรียมตัวมา 20 ปีก่อนมาเป็นนักการเมือง แต่ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับ สส.พรรคก้าวไกลจำนวนมากที่เป็นขวัญใจของแต่ละคน ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสายบู๊อย่างคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร คุณโรม รังสิมันต์ โรม  หรือสายบุ๋นอย่างคุณเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือคุณแบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ จะเห็นว่าทุกคนไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาเลย ซึ่งประสบการณ์การเมืองผมไม่แน่ใจว่าเป็นแต้มต่อหรือเป็นแต้มลบ ผมคิดว่าคนที่เคยมีประสบการณ์เห็นวิธีแบบเก่าๆ มาก่อน จะยึดติดกับวิธีการทำงานแบบเก่าๆ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง แต่มีสมอง มีวิธีคิด สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะวิธีแก้ปัญหาและสามารถเข้ากับคน ทำงานได้ดีก็อาจจะดีกว่า

@การเปิดตัวผู้สมัคร อบจ.เชียงใหม่ที่เป็นนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ อดีต ผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สวนกับความรู้สึกของด้อมส้มที่สนับสนุนน.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ สมาชิกพรรคก้าวไกล

ต้องบอกว่าในเรื่องของเชียงใหม่เราพูดคุยกันเยอะมาก เพราะว่าทุกทางก็มีข้อดีข้อเสีย คุณทัศนีย์ ก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและอยู่ในพื้นที่ เป็นคนที่มีศักยภาพด้วยเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างลงก็จะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก แต่ถ้าเกิดได้ประสานร่วมมือกันก็จะทำให้ทางฝั่งประชาธิปไตยมีพลังมากเป็นพิเศษ ในส่วนของคุณพันธุ์อาจเป็นข้าราชการเก่า ผมรู้จักมา 10 กว่าปีแล้ว  แต่เขาไม่เคยบอกผมเลยว่าเขาจะมาลง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ  ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับกระบวนการอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกทุกอย่างมันกลับมาที่คำแรกที่ผมให้สัมภาษณ์ คือ มันต้องทั้งชนะและเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด ก็เลยออกมาในลักษณะแบบนั้น

@กระบวนการเลือกผู้สมัคนายก อบจ.ของพรรคก้าวไกลครั้งนี้เป็นเส้นแบ่งการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ คือไม่ได้เน้นบ้านใหญ่ที่มีต้นทุนอยู่แล้วหรือไม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเชิงการเมืองการที่เราไปตั้งแง่เรื่องนามสกุลว่าเป็นบ้านใหญ่เร็วเกินไป อันนี้ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่าการทำงานการเมืองคือการทำงานทางความคิดและต้องเปลี่ยนใจคนมากกว่าทะเลาะกันให้ชนะ แต่ว่าผมต้องเปลี่ยนใจให้คุณมาคิดเหมือนผมว่า แนวทางที่ผมกำลังปฏิบัติและจะปฏิบัติเป็นแนวทางที่ถูกต้อง พอเราเห็นนามสกุลอยู่ข้างหลังแล้วบอกว่าเป็น กปปส.เก่า เป็นบ้านใหญ่ จึงรุ่งเรืองกิจ ลิ้มเจริญรัตน์ นามสกุลนี้ก็มีความเป็นการเมืองมากันเยอะมากมายพอสมควร พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ก็รู้ว่าเป็นหลานใคร ของ สส.เชียงใหม่ นามสกุลเดียวกับอดีตรัฐมนตรีสมัยไทยรักไทย คุณแก้วตา ธิษะณา ชุณหวัณ ก็รู้ว่านามสกุลใคร

คราวนี้มันเป็นส่วนหนึ่งที่คุณต้องมีสติและค่อยๆ พิจารณาแล้วก็มีความอดทนอดกลั้นให้ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเราไม่เหมือนพ่อเรา เราไม่เหมือนอาเรา เราไม่เหมือนบ้านใหญ่ของเรา แต่เรามีความคิดที่แตกต่างมากจริงๆ คือ คุณจะมาได้คุณไม่ควรที่จะมาด้วยดีเอ็นเอแน่นอน คุณไม่ควรที่จะมาด้วยนามสกุลคุณแน่นอน  แต่คุณต้องมาด้วยของที่คุณมีจริง ๆ และต้องยอมรับว่า เมื่อมีต้นทุนสูงกว่าในเชิงการเมืองเพราะเป็นบ้านใหญ่ ก็มีภาระที่จะต้องพิสูจน์สูงขึ้นตามไปด้วย เผลอๆ เราจะเป็นคนที่ไปเปลี่ยนใจอา เปลี่ยนใจพ่อแม่เราด้วย ต้องเปิดใจ อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นลูกหลานบ้านใหญ่แล้วไปกันเขาออก ไม่ควรที่จะเป็นอย่างนี้

ผมก็ได้ให้แนวนโยบายไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นหัวหน้าพรรค และตอนนี้ก็พยายามกระซิบไปทางหัวหน้าชัยธวัช  ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เขาดูอยู่ว่าอย่าให้เป็นลักษณะแบบนี้ เพราะว่าตราบใดก็ตามถ้าคุณไปตัดสินคนเร็วๆ โดยที่คุณยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ไปตัดคนออก แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องระวัง เพราะเราก็มีประสบการณ์ว่าพอบ้านใหญ่มาใช้กระแสเรา พอไม่สมดังหวังก็มาเผาบ้านเรา หรือจากเราไปก็มีบทเรียนที่เราก็ต้องไม่ไร้เดียงสาทางการเมืองจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรที่จะเคี่ยวทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน

@มีการตั้งข้อสังเกตว่าก้าวไกลแยกกันเดินร่วมกันตีกับคณะก้าวหน้า จะได้เห็นคณะก้าวหน้ามาช่วยหาเสียงหรือไม่  

อันนี้ก็คิดว่าเป็นเหมือนกันทุกพรรคเพราะว่ามันมีกฎหมายที่กำกับอยู่ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ อะไรที่ทำได้โดยพรรค อะไรที่ทำได้โดยเป็นผู้ช่วยหาเสียง ทุกพรรคก็จะมีลักษณะแบบนี้ โดยที่บางคนโดนตัดสิทธิ์ไปแล้วก็มี บางคนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคมาก่อนเพราะว่าโดนกฎหมายห้าม แต่ก็สามารถที่จะขึ้นเวทีดีเบตได้ สามารถที่จะช่วยปราศรัยได้ สามารถที่จะไปออกรายการทีวีแทนได้ เป็นต้น กฎหมายก็คงจะเก็บไว้ว่าหนึ่งให้สิทธิทางการเมืองเขายังมีอยู่ อย่างน้อยเขายังสามารถทำการณรงค์ทางการเมืองได้ หรือไปช่วยหาเสียงไว้ แต่สิ่งที่มันสำคัญคือต้องเท่าเทียมกันทุกพรรค ดังนั้นตอบให้ตรงคำถามก็คือว่าก้าวไกล ก้าวหน้าก็เป็นกลุ่มคนที่หมวกคนละใบแต่มีวิธีคิดไปในทิศทางและเป้าหมายอันเดียวกัน ไปคนละทางคือคนหนึ่งในสภา คนหนึ่งนอกสภา ก็ต้องทำตามกฎหมายที่ทำให้เราไม่ได้เอาเปรียบคนอื่นในทางการเมือง ทำเท่าที่กฎหมายอนุญาตและไม่ผิดกฎหมาย ก็คงเป็นไปในลักษณะแบบนั้น

 @สรุปว่าพรรคก้าวไกลจะส่งผู้สมัครนายก อบจ.กี่จังหวัด

คงระบุเป็นจำนวนไม่ได้ แต่อย่างที่บอกว่ามันมีหลักการคิดว่าในหลักที่มีคุณภาพ ควบคุมได้ และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง แต่ก็คงไม่เยอะถึงครึ่งประเทศ ไม่ได้บอกว่าจะเอา 40-50 จังหวัด เพราะว่าเอามารวมกันแล้วงบจะเยอะดี มีโอกาสในการที่จะเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่าย นั่นเป็นวิธีคิดการเมืองอีกแบบ เราไม่ได้คิดแบบนั้น.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่