หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Mad Max Fury Road (แมด แม็กซ์: ถนนโลกันตร์) ถูกฉายในปี 2558 ก็สร้างตำนานความยิ่งใหญ่กวาดรายถล่มทลายไปกว่า 378.9 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 150 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดวันที่ 22 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง Furiosa: A Mad Max Saga (ฟูริโอซ่า มหากาพย์แมดแม็กซ์) ก็ได้จัดฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เพื่อสานต่อเรื่องราวในอดีตของแฟรนไชส์ Mad Max อีกครั้ง สำหรับตัวอย่างหนังได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของสาวน้อย “ฟูริโอซ่า” (รับบทโดย อไลลา บราวน์) ที่โดนสมุนของ “ดิเมนตัส” (รับบทโดย คริส เฮมสวอร์ธ) ผู้นำในดินแดนร้างที่ชั่วร้ายลักพาตัวไปจาก ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ “The Green Place” ก่อนที่แม่ของเธอจะพยายามหาทางช่วยเหลือลูกสาว

เรื่องย่อ Furiosa: A Mad Max Saga หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวถูกลักพาตัวไป “แมรี่ จั๊บบราซ่า” (รับบทโดย ชาร์ลี เฟรอเซอร์) ผู้เป็นแม่ได้ออกติดตามไปช่วยลูกโดยลำพัง แน่นอนว่า “น้ำน้อย..ย่อมแพ้ไฟ” สุดท้ายเด็กน้อยโดนจับขังกรงล่ามโซ่ ไม่ต่างอะไรกับนักโทษ กระทั่งวันหนึ่ง “ดิอิมมอร์แทน โจ” (รับบทโดย ลอช์คี เฮล์ม) ได้ขอ “ฟูริโอซ่า” ไปเลี้ยงไว้ในฮาเร็มส่วนตัว เพื่อให้เธอกลายเป็นภรรยาในอนาคต

แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด เด็กน้อยเข้าไปอยู่ใน Citadel (ซิทาเดล) ดินแดนแห่งน้ำ ได้เพียงวันเดียว ก็โดน “ริกตัส อีเร็กตัส” (รับบทโดย นาธาน โจนส์) ลูกชายคนที่สองของ “ดิ อิมมอร์แทน โจ” ลากออกมาจากเซฟเฮาส์เพื่อข่มเหง เธอจึงอาศัยจังหวะนี้เผ่นหนีเอาตัวรอด เวลาผ่านไป 15 ปี “ฟูริโอซ่า” (รับบทโดย แอนยา เทย์เลอร์-จอย) ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างผอมแคระแกร็นและเป็นใบ้ เธอใช้ชีวิตเติบโตอยู่กับกลุ่มคนงานที่ดูแลเครื่องจักรกล เรื่องราวของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป ตลอดระยะเวลา 15 ปี ก่อนจะถึงภาค Mad Max Fury Road “ฟูริโอซ่า” ต้องเจอกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตอะไรบ้าง สามารถติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

จุดแข็ง Furiosa: A Mad Max Saga เป็นงานหนังแอ๊คชั่นตามแบบฉบับของ คุณปู่ “จอร์จ มิลเลอร์” ผู้กำกับรุ่นเก๋า เจ้าของตำนานแฟรนไชส์ Mad Max ผู้ชมจะได้เห็นงานสตั๊นต์โชว์แบบเดือด ๆ อย่างจุใจ เรื่องนี้อาศัยทีมงานสตั๊นต์มากกว่า 200 คน มาร่วมแสดงในฉากผาดโผนมากมาย ด้านดาราแม่เหล็กของเรื่องอย่าง “คริส เฮมส์เวิร์ธ” ที่พลิกบทบาทจากเทพเจ้าสายฟ้า “ธอร์” มาเป็น “ดิเมนตัส” ผู้โฉดชั่วและยียวนกวนบาทา อันนี้ต้องยอมรับเลยว่าทั้งเรื่อง “พี่ธอร์” แกแบกไว้คนเดียวจริง ๆ บทเด่นมาก ๆ ความรู้สึกเหมือนดู “โจโฉ” ที่มีความเก่งและโกง สมุนมากมาย ยอมร้ายกับทุกคน แต่จะไม่ยอมให้ใครมาร้ายกับตัวเอง

ขณะที่บทของ “ฟูริโอซ่า” ตามเนื้อเรื่องจะต้องโกนผมออก ซึ่ง แอนยา เทย์เลอร์-จอย” หรือ “น้องจอย” เธอยินดีจะตัดสกินเฮดไม่ต่างกับดารารุ่นพี่ “ชาร์ลีซ เทรัน” ที่รับบทนี้ใน Mad Max Fury Road เพียงแต่เธอโดน คุณปู่ “จอร์จ มิลเลอร์” สั่งเบรกเอาไว้ก่อนทั้งยังให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า เขาชอบผมของเธอมาก เธอสวยมากที่ไว้ผมยาวแบบนี้ ดังนั้นในการถ่ายทำหากเป็นพาร์ทที่ต้องให้ ฟูริโอซ่า ผมยาว “น้องจอย” ก็จะไว้ผมปกติ แต่ถ้าเป็นฉากต้องไว้ผมสั้น คุณปู่ผู้กำกับรุ่นเก่าก็จะให้เธอใส่หมวกคลุมเอาไว้เท่านั้น ที่สำคัญบทพูดของ “ฟูริโอซ่า” (ตอนโต) จะพูดน้อยมาก งานการแสดงของ “น้องจอย” จึงใช้สายตามากกว่าคำพูด ซึ่ง “น้องจอย” แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แววตาที่เต็มไปด้วยความ อาฆาตแค้น เศร้าเหงา และหวาดกลัว

จุดอ่อน ตัวหนังใส่ตัวละครใหม่ๆ เอาไว้มากมาย มีสกิลความสามารถที่น่าสนใจให้ผู้ชมได้ยลกัน ซึ่งในพาร์ทแรกของหนังนั้นมีการนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฝ่ายสมุนของฝั่ง “ดิเมนตัส” แต่พอเอาเข้าจริง กลับโชว์งานได้เพียงไม่กี่ตัว ที่เหลือโดนเนิร์ฟบทบาทก่อนเททิ้งไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ หนังดูจะมีปัญหาเรื่องการเล่าเรื่องในพาร์ทการต่อสู้ศึกใหญ่ของ “ดิเมนตัส” กับ “ดิอิมมอร์แทน โจ” หรือศึก 40 วัน ที่ตัดฉากการต่อสู้ออกไป ก่อนจะให้ “ฟูริโอซ่า” โผล่มาเชื่อมต่อในตอนท้าย เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะต้องเสียดายที่ไม่มีฉากเดือด ๆ ของพาร์ทนี้แน่นอน

5/5 กะโหลก ไม่ต้องคิดอะไรมากมายสำหรับแฟรนไชส์ Mad Max เพราะแค่ฉากสตั๊นต์โชว์ ก็คุ้มค่าตั๋วสุด ๆ แล้ว และถึงแม้การเล่าเรื่องจะไม่ค่อยโดนใจ หรือปริศนาหลายสิ่งอย่างยังไม่คลี่คลายก็ตาม แต่งานการแสดงของ “พี่ธอร์” กับ “น้องจอย” ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความดุดัน ก็คงกล้ารับประกันแฟนคลับของสองดารา และคอหนังแนวแอ๊คชั่น ต้องประทับใจ 100% แน่นอนครับ.

———————————————

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Warner Bros. Thailand