เร็วๆนี้มีประเด็นน่าสนใจ เหตุพบเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายใหญ่“แม่มนต์”มีการใช้บัญชีม้าของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย ซ้ำภายในมีเงินหมุนเวียน 50 ล้านบาท จากการเปิดใช้งานบัญชีเพียงช่วงปี 62-ปัจจุบัน

ทีมข่าวอาชญากรรม”ล้วงลึกสอบถาม ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อถอดรหัส เหตุใดจึงเลือกใช้บัญชีม้าคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบบัญชีถูกเปิดในปี 62 และถูกใช้งานต่อเนื่อง(เจ้าของเสียชีวิตปี 65) บัญชีมีเงินหมุนเวียน 50 ล้านบาท ปลายทางเงินไปอยู่ที่เจ้าของเว็บไซต์พนันหรือกลุ่มผู้บริหาร เบื้องต้นเป็นการเปิดและขายบัญชี โดยคนร้ายยังใช้บัญชีโดยไม่ทราบความจริง

ข้อเท็จจริงนี้เองทำให้ดีเอสไอตั้งข้อสงสัยไปถึงระบบตรวจสอบของสถาบันการเงินว่า เหตุใดจึงไม่ทราบว่าผู้เปิดบัญชียังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ย้ำว่าไม่ใช่ช่องว่างเฉพาะปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่ยังส่งผลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะการที่มีบุคคลอื่นมาทำธุรกรรมด้วยบัญชีคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะปัจจุบันสามารถทำผ่าน Mobile banking , ATM ได้เลยเพียงแค่รู้รหัส

ยกตัวอย่าง สหกรณ์ออมทรัพย์บางมหาวิทยาลัย ไม่ต้องมี ATM ก็ใช้บัตรประชาชนเสียบช่องหน้าตู้กดเงิน แค่รู้รหัสเจ้าของบัญชี ยังไม่มีการใช้รหัส OTP เข้ามากำกับอีกชั้น จึงมองว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กรมการปกครอง อาจเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎร์กับสถาบันการเงิน”

โดยเฉพาะหากเจ้าของบัญชีเสียชีวิต ปกครองในพื้นที่ต้องรวบรวมรายชื่อส่งให้สถาบันการเงิน หรือสมาคมธนาคารในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้ทราบและระงับธุรกรรมไว้ชั่วคราว ทั้งนี้ สิ่งที่ตนตระหนักคือ หน่วยงานเกี่ยวข้องเรื่องการเงินยังไม่มีระบบตรวจสอบความเคลื่อนไหวหลังเปิดใช้ โดยเฉพาะที่ผิดปกติวิสัย จึงอยากเสนอว่าหลังเปิดบัญชีสักระยะ ควรให้เจ้าของแสดงตนด้วยวิธีการต่างๆ ที่ธนาคารเห็นว่าเหมาะสมและจำเป็น เพื่อยืนยันว่ายังมีชีวิตและยังใช้บัญชีอยู่

หากไม่เเสดงตนต้องปิดกั้นธุรกรรม ไม่ให้เหมือนทุกวันนี้ที่คนเปิดบัญชีแล้วนำไปขาย ไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวเลยว่าถูกนำไปใช้ในอาชญากรรมใด กระทั่งมีหมายเรียกหรือหมายจับไปถึงตัว ฝากถึงผู้ที่กำลังคิดจะเปิดบัญชีม้า อย่าคิดว่าได้เงินหลักร้อยหลักพันแล้วจบ

ดีเอสไอมองว่าบัญชีม้าคือส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรม ถ้าไม่มีบัญชีม้าคอย“คัตเอ้าท์”เส้นทางการเงิน การกระทำความผิดเหล่านี้ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้”

สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน พบขบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเริ่มหลีกเลี่ยงไปใช้คนต่างด้าว และยังพยายามให้เปิดบัญชีแบบ“นิติบุคคล”เพราะไม่ต้องยืนยันตัวตน หรือสแกนใบหน้า และโอนเงินจำนวนมากๆได้ ทำให้เริ่มมีการจดทะเบียนพาณิชย์หรือนิติบุคคลเพิ่มขึ้น เพื่อให้เวลาทำธุรกรรมมักอยู่ในนามบริษัท เลี่ยงการตกเป็นเป้าเมื่อมีคดี ซึ่งสมัยนี้นิยมเรียกว่า“ม้าบริษัท”

เหตุเพราะในอดีตหากเป็นบัญชีม้าบุคคลธรรมดา เวลาเป็นคดีจะสืบไล่ทีละแถวแล้วเจอปลายทาง หรือ“บิ๊กบอส” แต่เมื่อนิติบุคคลมาเปิดบัญชี ต้องไล่เรียงว่ามีใครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม การจดทะเบียนการค้า พิกัดที่ตั้ง ซึ่งเมื่อตรวจสอบมักพบไม่มีสถานที่จริง หรือเป็นที่รกร้าง โดยส่วนใหญ่เป็นการสวมรอย

ขณะที่รูปแบบการเบิกถอน“ม้าบริษัท” จะไม่โอนไปบัญชีบุคคลธรรมดารายใด เพื่อให้ไปกดถอนเงินออกมา หรือเบิกถอนผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร แต่ใช้วิธีโอนเงิน ผ่องถ่ายไปแต่ละบัญชีนิติบุคคลที่เตรียมไว้ในฐานะบัญชี“ม้าบริษัท” ลักษณะคล้ายกันคือโอนส่งต่อเป็นทอดๆ

ทั้งนี้ มองมิติจูงใจรับจ้างเปิดบัญชีมีทั้งที่เจตนา และผิดพลาด เช่น ไปสมัครงานแล้วต้องเปิดบัญชี หรือนำสมุดบัญชีไปให้ผู้ว่าจ้าง แต่มีบางกรณีศึกษาขอบเขตงานที่ทำแล้วพบลักษณะไม่น่าเชื่อถือ หรือเงินตอบแทนสูงผิดปกติ แต่ยังยอมเปิดให้เพราะค่าตอบแทน ก็เป็นข้ออ้างไม่ได้

พร้อมสะท้อนทิ้งท้ายในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เมื่อต้องทำคดีจะไม่มองแค่การเปิดบัญชีม้า แต่จะมองภาพใหญ่คือองค์กรอาชญากรรม ใครที่คิดจะเปิดบัญชีม้าจึงอย่าคิดแค่ถูกดำเนินคดีฐานให้บุคคลอื่นใช้บัญชีแล้วศาลจะเมตตาให้รอลงอาญา

ในมุมมองพนักงานสอบสวนกลุ่มคนเหล่านี้คือ ผู้สนับสนุนให้เกิดการก่อการร้ายและทำให้มีเงินไหลเวียนสำหรับการฟอกเงิน ซึ่งแปลว่า ถ้าคุณเปิดบัญชีม้า เท่ากับว่าคุณก็มีส่วนสนับสนุนการฟอกเงินด้วย”

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน

[email protected]