ศึก 23 ปี ที่มองโกเลีย กับคู่แข่งอย่าง เจ้าภาพ, ลาว และ มาเลเซีย ก็ดูไม่เหนือบ่ากว่าแรงนัก แต่ไปๆ มาๆ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ชักหวั่นๆ ว่าจะงานกร่อย

ไปลองไล่เรียง เหตุผลทั้งมุมบวก ที่จะนำช้างศึกสู่ความสำเร็จ และมุมลบที่ทำให้หงายเงิบกัน

ปัจจัยแห่งความผิดหวัง
1.ไม่ได้นักเตะที่ดีที่สุด : ด้วยความที่ไทยลีก คิวเตะชนกัน เราจึงไม่มีแข้งเกรด A ในไทยลีก อย่าง เอกนิษฐ์ ปัญญา, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, กฤษดา กาแมน ไล่ไปถึง สิทธิโชค ภาโส หรือรวมทั้ง ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท ที่กำลังแรงกับเมืองทอง ขุนพลชุดนี้ จะว่าไปแล้วน่าจะอยู่ที่ราว 60 เปอร์เซ็นต์ ของศัยภาพเต็มที่จะมีได้ หากถ้าได้มาครบ ทั้งฝีเท้า และประสบการณ์จะช่วยให้แกร่งขึ้นอย่างมาก

2.อ่อนซ้อม : ไม่ต้องรวมวันที่ 19 ต.ค. ที่เน้นฟื้นฟูร่างกาย เรามีเวลา 5 วัน เท่านั้น ย้อนไปการซ้อมในไทยก็ไม่มี แคมป์แรกเมื่อต้นเดือน ก.ย.แทบไม่ได้อะไรนัก มีนักเตะติดมาแค่ 6 คน จาก 28 คน กับระยะเวลา 5 วัน “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ต้องหาทีมที่ลงตัวให้ได้โดยเร็ว ไหนจะเรื่องการใส่แท็คติก ความเข้าขา รู้ใจ ทีมเวิร์ค คิดไปแล้วก็ชักเสียวจะเหมือนทีมชุดใหญ่ที่ไปคัดบอลโลก ไปซ้อมกันที่ยูเออี

3.อากาศยะเยือก : นักเตะไทย อยู่เมืองร้อน ไปเจออากาศเย็นๆ ไปไม่เป็นทุกที กล้ามเนื้อมันตึง ระบบหายใจลำบาก ยิ่งหนนี้นอกจากเย็น แล้วยังขึ้นที่สูง ต้องขนถังออกซิเจนไปด้วย แถมนัดแรกก็เจอทีมเจ้าภาพที่คุ้นเคยมากกว่า อุณหภูมิที่มองโกเลีย ตอนกลางคืนถึงขั้นติดลบ ส่วนกลางวันแม้จะดีดขึ้นมาเลขตัวเดียวก็ยังหนาว โหดไม่โหดคิดดู เจ้าภาพต้องจัดเวลาเตะกันตอนเที่ยงๆ ส่วนเรื่องที่เรามีนักเตะยุโรป น่าจะปรับได้ดี ก็อาจไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะหนาวแบบยุโรป กับหนาวแบบมองโกเลียที่แห้งๆ แถมยังที่สูง มันก็เหมือนนักเตะไทยไปเตะตะวันออกกลาง ร้อนเหมือนกัน เราก็ยังต้องปรับตัวกันนาน

4.หญ้าเทียม : ใครเล่นบอลคงรู้ดี หญ้าเทียม-หญ้าแท้ ต่างกันคนละเรื่อง ทั้งจังหวะกระดอนของฟุตบอล ความหนืด ความนิ่ม น้ำหนักการส่งบอลจะผิดไป ไหนจะเรื่องโอกาสบาดเจ็บที่มีมากขึ้น แล้วนักเตะไทยทั้งทีมนี้ เล่นแต่กับหญ้าแท้ ทั้งซ้อมและแข่ง ซึ่งประสบการณ์หญ้าเทียมนี้ คงจำกันได้ กับซีเกมส์ ที่ฟิลิปปินส์ ล่าสุดที่เราขนไปแบบทัพใหญ่ ไฟกระพริบ ขาดแค่ เอกนิษฐ์ ปัญญา แต่ผลคือ “ตกรอบแรก”

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
1.คุณภาพนักเตะไทย : ไม่ดีที่สุดที่มี แต่ดีที่สุดเท่าที่จะมีได้ ทีมเวิร์คเป็นข้อกังขา แต่ถ้าความสามารถเฉพาะตัวพอเชื่อใจได้ หลายๆ คนมีประสบการณ์ในลีกสูงสุด ลีกรองของไทย อย่าง กรวิชญ์ ทะสา, กันตภณ คีรีแลง, อิรฟาน ดอเลาะ, ผึ้งงานอย่าง สิทธา บุญหลา ส่วนแนวรับ จตุรพัช สัทธรรม นี่ก็ยึดตัวจริง การท่าเรือ เอฟซี ได้สม่ำเสมอ เรียกว่า แม้ไม่ใช่เกรด A แต่ก็ราว B หรือ B- เทียบตัวต่อตัวแล้ว ยังเชื่อว่าดีกว่า 3 ทีมคู่แข่ง

2.แข้งเสริมจากต่างแดน : เป็นตัวช่วยชั้นดีแจ่มว้าว ซึ่งต้องชมมือประสานอย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม ที่ไปดึงนักเตะอย่าง “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาร จาก เลสเตอร์ ซิตี, เบนจามิน เจมส์ เดวิส จากออกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด มาได้ อาจเพราะมีเจ้าของคนไทย เลยคุยกันง่ายหน่อย โดยรายของ “กัปตันกัน” ขึ้นชั้นอยู่ระดับชุดใหญ่อยู่แล้ว โชว์ให้เห็นในคัดเลือกบอลโลก ที่เปรียบเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายของคนไทย เช่นเดียวกับ เบนจามิน ผลงานเมื่อต้นปีที่แล้ว ในชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ในไทย แม้เขาจะไม่ได้ยึดตัวจริงถาวร แต่เมื่อได้โอกาส ก็มีอะไรมาให้เห็น โดยเฉพาะความกล้าเล่นกล้าลุย ส่วนในรายของ โจนาธาน เข็มดี อาจต้องมาดูอีกครั้งว่าเข้ากับระบบทีมได้แค่ไหน ขณะที่ โอเวน ชาร์ลี บัวพิศ ถึงตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะเล่นได้หรือไม่ เพราะมาแบบตัวละครลับ ที่ลับจริงๆ

3.ทีมงาน : แฟนบอลหลายคนไม่ค่อยชอบใจ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ แต่คิดแง่ดีอย่าลืมว่า เขาเคยทำทีมยู 23 มีผลงาน พาคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2017 ร่วมกับ “โค้ชก้าง” นฤพล แก่นสน ที่อยู่ในสตาฟฟ์ชุดนี้ ส่วนมือขวา “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ก็ดีกรีแชมป์ซีเกมส์ 2015 และที่สำคัญ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมหญิงเหล็ก อย่างน้อยๆที่สุด ผู้นำทีมชุดนี้ทุกคนได้รับความเชื่อมั่น เชื่อถือ สามารถรวมใจบรรดานักเตะในทีมได้แน่นอน

4.พลังฮึด : อย่างที่บอก ทีมชาติไทยชุดนี้ ได้รับความกังขาว่าจะไหวเหรอ นั่นจะส่งผลเป็นแรงดีด แรงขับให้แต่ละคน สู้เต็มที่ ใส่ไม่ยั้ง ด้วยพลังอยากลบคำครหา ซึ่งจะรวมถึงทีมงาน โค้ช-ผู้จัดการทีมด้วย ทุกนัด ทุกคนรู้ตัวว่า ต้องเล่นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ อัดเต็มพิกัด สลัดคำดูถูก ขณะเดียวกัน ด้วยผลงานของทีมชาติไทย ในระยะหลัง ที่ซึมเศร้ามาโดยตลอด จะทำให้พวกเขาย่อมคาดหวังว่า จะมาเป็นประกายไฟแรกแห่งการปลุกกระแส ก่อนส่งมอบต่อยอดไปสู่ทีมชุดใหญ่ ในซูซูกิคัพ เดือน ธ.ค.นี้.

*** วุฒินล ***