วันที่ 21 ต.ค. 2521 เฟรเดอริก วาเลนทิช นักบินหนุ่มวัย 20 ปีออกบินจากสนามบินมัวรับบิน กรุงเมลเบิร์น ออสเตรเลียด้วยเครื่องบินเซสนา 182 มุ่งหน้าไปยังเกาะคิง แต่เขาไปไม่ถึงจุดหมายและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างการเดินทาง

ก่อนจะขาดการติดต่อไป วาเลนทิชวิทยุแจ้งหอบังคับการบินว่า เขาโดนอากาศยานอีกลำหนึ่งติดตาม ขณะที่เครื่องบินของเขาอยู่ที่ระดับความสูง 4,500 ฟุตและเครื่องยนต์เริ่มทำงานไม่ราบรื่น และต่อมา อากาศยานลำนั้นก็บินขึ้นไปอยู่เหนือเครื่องเซสนาของเขาราว 1,000 ฟุต 

หอบังคับการบินตอบกลับวาเลนทิช โดยแจ้งว่าไม่พบข้อมูลว่ามีอากาศยานลำอื่นบินอยู่ที่ความสูงระดับเดียวกันกับเขาและมีลักษณะตามที่เขาแจ้งไป ซึ่งวาเลนทิชระบุว่าเป็นอากาศยานขนาดใหญ่ มีไฟแสดงสถานะการบินสว่างจ้า 4 ดวง ผิวนอกเป็นโลหะมันวาวพร้อมไฟสีเขียว

หอบังคับการบินต้องการให้วาเลนทิชระบุว่าอากาศยานลำนั้นเป็นเครื่องบินอะไร แต่เขาตอบกลับมาว่า “มันไม่ใช่เครื่องบิน” หลังจากนั้น สัญญาณวิทยุจากเครื่องบินของเขาก็โดนรบกวนด้วยเสียงดังที่มีลักษณะเหมือนโลหะขีดข่วนหรือเสียดสีกัน จากนั้นเขาก็ขาดการติดต่อไป

เครื่องบินเซสนา 182

หลังจากวาเลนทิชและเครื่องบินของเขาหายไปอย่างลึกลับ ทางการออสเตรเลียก็สั่งให้มีการค้นหาทั้งทางทะเลและทางอากาศ ซึ่งมีทั้งเครื่องบินของกองทัพอากาศและเครื่องพลเรือน 8 ลำ ออกค้นหาในพื้นที่กว่า 1,000 ตารางไมล์ 

หลังจากผ่านไป 4 วัน การค้นหาก็หยุดลงเนื่องจากไม่พบร่องรอยใด ๆ แม้ว่าในปี 2526 จะพบแผ่นปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์โดนคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นที่เกาะฟลินเดอร์ส แต่จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด สำนักงานสอบสวนความปลอดภัยทางอากาศก็สรุปได้เพียงว่า “ชิ้นส่วนดังกล่าวมาจากเครื่องบินเซสนา 182 ซึ่งมีลำดับหมายเลขอยู่ในกลุ่มหนึ่ง” ซึ่งหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่ชิ้นส่วนนั้นเป็นของเครื่องบินของวาเลนทิช แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้

ขณะที่วาเลนทิชส่งข้อความสุดท้ายมายังหอบังคับการบินนั้น เขากำลังบินผ่าน “สามเหลี่ยมแบสส์ สเตรท” ซึ่งเป็นตำแหน่งกลางทะเลระหว่างรัฐวิกตอเรียกับเกาะแทสมาเนีย และได้ชื่อว่าเป็น “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งออสเตรเลีย” เนื่องจากมีทั้งเรือและเครื่องบินจำนวนมากที่หายไปในบริเวณนี้ ทำให้มีผู้ตั้งสมมติฐานหลายประการเกี่ยวกับการหายตัวไปของเขา

กลุ่มแรกเชื่อว่า วาเลนทิชสร้างสถานการณ์เพื่อแกล้งตายและหายตัวไป โดยอ้างว่า ในวันนั้น มีตำรวจได้รับรายงานว่า มีเครื่องบินลำเล็กลงจอดไม่ไกลจากแหลมออตเวย์ ซึ่งห่างจากต้นทางการบินของวาเลนทิชเพียง 45 นาที และยังเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่เขา “หายตัวไป”

เฟรเดอริก วาเลนทิช

กลุ่มที่ 2 เชื่อว่า วาเลนทิชประสบอุบัติเหตุจนเครื่องบินตกกลางทะเล และแสงไฟที่เขาบรรยายให้หอบังคับการบินฟังนั้น อาจเป็นแสงไฟจากเครื่องบินของเขาเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำทะเลระหว่างที่เขาบังคับเครื่องบินให้อยู่ในลักษณะกลับหัว ซึ่งเป็นเทคนิคการบินอย่างหนึ่ง

คนกลุ่มนี้อธิบายว่าเครื่องยนต์ของเครื่องบินเซสนานั้นใช้ระบบเชื้อเพลิงแบบแรงโน้มถ่วง และการบินในลักษณะกลับหัวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้

กลุ่มที่ 3 เชื่อว่า วาเลนทิชต้องการฆ่าตัวตาย แต่ทั้งแพทย์ประจำตัวและเพื่อนร่วมงานของเขาปฏิเสธสมมติฐานนี้อย่างสิ้นเชิง แม้จะมีความเป็นไปได้ 

นอกจากนี้ ในปี 2553 ยังมีผู้เสนอแนวคิดว่า วาเลนทิชอาจมองเห็นภาพลวงตาของขอบฟ้าแนวตั้ง ทำให้เขาพยายามแก้ไข แต่กลับทำให้เครื่องบินเคลื่อนตัวในลักษณะหมุนเป็นเกลียวจนเครื่องยนต์ติดขัดและทำให้เครื่องบินตก

ส่วนกลุ่มสุดท้ายเชื่อว่า การหายตัวของวาเลนทิชเป็นฝีมือของ “มนุษย์ต่างดาว” คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเขาโดนมนุษย์ต่างดาวที่ขับ “ยูเอฟโอ” ไล่ตามเขานำตัวเขาไป โดยอ้างว่า พบรายงานในวันนั้นระบุว่า มีแสงสีเขียวผิดปกติเคลื่อนที่ไปมาบนท้องฟ้า

กลุ่ม “กราวด์ ซอเซอร์ วอตช์” ผู้ศึกษาสิ่งบินลึกลับที่ไม่อาจระบุได้ อ้างว่าภาพที่ถ่ายในวันนั้นแสดงให้เห็นวัตถุบางอย่างที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในอากาศใกล้กับประภาคารเคปออตเวย์ ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่วาเลนทิชหายตัวไป 

เจอโรม คลาร์ก นักเขียนเรื่องยูเอฟโอกลุ่มยังอ้างว่ามีภาพถ่ายของ “สิ่งบินที่ไม่อาจระบุได้ที่เห็นได้ชัด มีขนาดปานกลาง ห้อมล้อมด้วยไอระเหยหรือไอเสียที่ดูคล้ายเมฆ” ในวันนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพถ่ายของพวกเขาก็ยังไม่ชัดเจนมากพอที่จะเป็นหลักฐานยืนยันคำกล่าวอ้างเหล่านี้ได้

กรณีการหายตัวของเฟรเดอริก วาเลนทิชจึงยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา : ladbible.com, en.wikipedia.org

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, Australian Department of Transport