โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานาน แถมยังเข้าไปอยู่ในใจของแฟนๆ ได้อย่างมากมายสำหรับหนุ่มหล่อสุดเท่ อินดี้-อินทัช เหลียวรักวงศ์ ที่ล่าสุดมีผลงานละครคอมเมดี้อย่าง สูตรเล่ห์เสน่หา ทางช่อง 8 โดยหนุ่มอินดี้ยอมฉีกลุคครั้งใหญ่เล่นคอมเมดี้เต็มตัวครั้งแรกจนแฟนๆ ต่างชื่นชมในความเก่งรอบด้านของเขา วันนี้ yimyim มีโอกาสได้พูดคุยกับหนุ่มอินดี้ทั้งที เลยไม่พลาดเก็บบทสัมภาษณ์มาฝากกันแบบจัดเต็มทุกเรื่องในชีวิตของเขาเลยจ้า

ทักทายแฟนๆ เดลินิวส์ออนไลน์สักหน่อย?

“สวัสดีครับแฟนๆ เดลินิวส์ออนไลน์ ผมอินดี้-อินทัช เหลียวรักวงศ์ ขอฝากเนื้อฝากตัว และก็ขอฝากละคร สูตรเล่ห์เสน่หา ด้วยนะครับ” (ยิ้ม)

สูตรเล่ห์เสน่หา เล่นเป็นใคร คาแรกเตอร์เป็นแบบไหน?

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็นอนวัชหรือไวน์ละครเรื่องนี้ เป็นละครคอมเมดี้ เรื่องแรกของผมเลย ปกติผมจะได้รับบทดราม่า กับดราม่าสุดๆ เท่านั้น ซึ่งผมเองก็เกิดจากบทดราม่า ซึ่งบทคอมเมดี้เรื่องนี้ถือว่า เป็นบทที่ท้าทายอย่างหนึ่งของผมในฐานะนักแสดง จากคนที่ไม่เคยเล่นคอมมาดี้เลย ขอพูดตรงๆ ว่าเป็นเรื่องแรกที่คอมมาดี้สุดทางขนาดนี้เลยครับ”

ความเหมือนหรือต่างของตัวละครตัวนี้กับตัวเองคืออะไร?

“ผมว่าไม่ค่อยต่างจากตัวเองเท่าไหร่ ในเรื่องของการพูด การคุย การวางตัว แอคติ้งต่างๆ ทุกอย่างเหมือนตัวเราเลย เราไม่ได้เป็นคนที่นิ่ง สุขุม ขนาดนั้น เราก็จะฟิลสบายๆ มีความเป็นตัวเราเองเยอะมาก ตัวละครอนวัชถือว่าเหมือนผมประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์เลย ต่างกันตรงที่ว่าเขาจบนอกมาแค่นั้นเลย (หัวเราะ) นอกนั้นวิธีการพูด หรืออย่างอื่นคือไม่ต่างกัน แต่ตัวของอนวัช เป็นคนที่ซึมซับความรู้สึกตัวเองช้ามาก ในทุกๆ เรื่อง เป็นตัวละครที่รู้ช้า แต่เป็นคนฉลาดนะ เป็นคนที่ไม่ขี้สงสัย ถ้าไม่เจออะไร แล้วรู้สึกจริงๆ เข้าก็ไม่พูด อย่างเรื่องความรัก ในละคร แม่เราจะจัดแจงให้เราหมดแล้วทุกอย่าง มันเลยกลายเป็นว่า อนวัชกลายเป็นคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับความรัก มันต่างกับอินดี้ตรงที่ อินดี้จะเป็นคนรู้สึกเร็วมาก อันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นอนวัช เขาจะมาคิดว่า ใช่หรือเปล่า จริงหรือเปล่า หรืออาจจะไม่ใช่ มันจะมีความไม่มั่นใจในทุกเรื่อง คนหวังร้าย คนหวังดี จะคิดบวกไปหมด ใครเข้ามาในชีวิต จะคิดตลอดว่า คนนี้มีเหตุผลที่เข้ามา ซึ่งตรงนี้มันจะแตกต่างจากอินดี้ เราจะเป็นคนไวกว่าครับ”

ทำไมมารับแสดงเรื่องนี้ ชอบหรือไม่ชอบอะไรในตัวละครนี้บ้าง?

“เราอยากพิสูจน์ตัวเอง และอยากจะลองมาเล่นบทคอมเมดี้จริงๆ ว่าเราสามารถทำได้หรือเปล่า เพราะว่าอยากจะให้คนดูทุกคนที่ติดตามอินดี้ ได้รู้ว่าอินดี้ก็สามารถเล่นคอมเมดี้ได้ด้วย หลายคนจะติดภาพว่าอินดี้จะเล่นดราม่า ต้องมีน้ำตา ร้องไห้อย่างเดียว พอมาถึงตอนนี้ อินดี้ก็จะพูดกับทุกคนเลยว่า อินดี้สามารถเล่นคอมเมดี้ได้เหมือนกัน ส่วนอะไรที่ไม่ชอบในตัวของไวน์คือ ส่วนของงานบริษัท ส่วนตัวของเรา เราเองเป็นคนที่ไม่ชอบทำงานในบริษัท เราเป็นคนเสรี เป็นคนบันเทิง เป็นฟรีแลนซ์ เราไม่ชอบงานเอกสาร ซึ่งอนวัช มีตรงนั้นหมดเลย ตัวไวน์ต้องมานั่งเซ็นสัญญา ต้องทำมีธุรกิจ ซึ่งผมบอกเลยว่าเรื่องนี้ธุรกิจเยอะมาก มันจะมีซีนที่เราต้องพูดเยอะมาก แล้วคนอื่นนั่งฟังเราอย่างเดียว พี่ไซม่อน เอิร์ธ รวมถึงพ่อเรา ก็คือ อาปุ๊-มนตรี ก็จะนั่งฟังเรา ซึ่งมันเป็นทุกอย่างที่เราไม่เคยทำ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ผมไม่ชอบ แล้วยากมาก ทำให้เราต้องจำบท แล้วเอามาพูดให้ พอมาทำตรงนี้ มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ยาก และเป็นอุปสรรคพอสมควรในการถ่ายทำ”

สิ่งที่ได้จากละครตัวนี้ และความสนุกของละครมีมากแค่ไหน?

“ต้องขอออกตัวแรงๆเลยว่า ละครเรื่องนี้เป็นละครสนุกที่สุด ตั้งแต่เคยเล่นละครมา อินดี้กล้าพูดเลยว่า ไม่เคยพูดประโยคนี้กับใคร ไม่ใช่ว่าเราอวยละครเรื่องนี้ แต่ด้วยอายุ หรือวัยของนักแสดงทุกคนมันใกล้เคียงกันมาก ต่อให้เป็นนักแสดงอาวุโส ทุกคนเขามีความสุขในการเล่นมากๆเลยครับ เขาสนุกกับเรา มันต่างจากสิ่งที่อินดี้รับบทดราม่ามา เราต้องบีบน้ำตาตลอด ทุกอย่างมันดูเป็นการแสดง แต่สำหรับเรื่องนี้มาถึงแล้วเราเล่นเป็นตัวเราเลย ทุกอย่างมันดูสนุกหมด ผมรู้สึกคิดถูกมาก ในการที่รับเล่นละครเรื่องนี้ เพราะว่ามันสนุกจริงๆ แล้วก็อยากจะให้แฟนๆดูไปกับพวกเรา ส่วนสิ่งที่ได้จากตัวละครตัวนี้คือ การไว้ใจคน การดูคนให้ออก การดูคนให้กว้างอันนี้สำคัญมาก ส่วนตัวอินดี้เป็นคนที่ดูคนไม่เก่ง แต่ตัวอนวัชเองเขาจะสอนผมเยอะเลย ตั้งแต่แรกจนตอนจบ เพราะตัวอนวัชโดนในเรื่องของการหักหลังเยอะ โดนแทงข้างหลังเยอะ ความผิดหวังที่เกิดขึ้นในละครมันก็เยอะ ถึงแม้ว่าจะเป็นละครคอมเมดี้ แต่ความเศร้า ทุกอย่างมันมีหมดในเรื่องนี้ เพียงแต่ตัวอนวัชเองไม่ได้แสดงออกมาทางน้ำตา แต่จะเป็นการจัดการอยู่ในใจ อนวัชคือ ทำอย่างไรก็ได้ ต้องไม่ให้พ่อผิดหวัง ใครจะเป็นอะไร ไม่รู้ ช่างมัน แต่พ่อต้องไม่เสียใจ”

ความคาดหวังของละครเรื่องนี้?

“เป็นละครที่คาดหวังไว้สูงพอสมควรเลยครับ เพราะว่าเรื่องนี้มันยากสำหรับอินดี้มาก อย่างที่บอกมันเป็นละครคอมเมดี้เรื่องแรกของอินดี้ ต้องบอกว่าเรื่องของการเข้าถึงบทมันค่อนข้างที่จะยาก และมันเป็นอะไรที่เราไม่เคยทำ ก็อยากจะให้แฟนๆ ได้ดูจริงๆ ตั้งแต่ที่เราได้มาทำงานในวงการบันเทิง อินดี้มีความสนใจและอยากจะลองเล่นละครคอมเมดี้มาตลอด เพียงแต่กลายเป็นว่าอินดี้เริ่มต้นจากละครดราม่า และหลังจากนั้นมันเป็นภาพจำในตัวอินดี้มาตลอด”

เหตุผลที่ไม่ควรพลาดละครเรื่องนี้?

“ขอถามก่อนเลยว่า ใครเคยเห็นพี่ต๊งเหน่งเล่นตลกบ้าง น้อยมาก อย่างอาปุ๊ อินดี้บอกได้เลยว่า คนที่ทำให้อินดี้ขำจนเล่นต่อไม่ได้ กลับกลายเป็นอาปุ๊ ใครจะเชื่อ หลายคนคงคิดคนที่ทำให้อินดี้ขำคือ พี่เฟิร์นรึเปล่า พี่เอ เชิญยิ้มรึเปล่า ไม่เลย อาปุ๊ เป็นคนที่ทำให้อินดี้เล่นต่อไม่ได้ จนต้องบอกผู้กำกับว่าผมขอเบรก ผมขอโทษจริงๆ ผมเล่นต่อไม่ได้ (ยิ้ม) คืออาปุ๊เขาขำมาก ขำจนต้องขอหยุด เราไม่สามารถที่จะเล่นต่อได้ คืออยากจะให้คนดูละครเรื่องนี้จริงๆ มันเป็นละครที่ตลกมาก ด้วยตัวของอนวัชเอง อาจจะไม่ได้มีมุกตลกมาก แต่ด้วยองค์ประกอบของทุกคน ที่อยู่ในละครเรื่องนี้ มารวมกัน ต้องบอกว่าทุกคนเต็มที่มากๆ กับบทบาทที่ตัวเองได้รับ แบบแฟนๆ ห้ามพลาดกันเลยครับ การตื่นเช้าไปถ่ายละครเรื่องนี้ มันเหมือนตื่นไปโรงเรียน แล้วเราจะได้เจอเพื่อน ได้เล่นสนุก นักแสดงทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่ามันสนุกจริงๆ ไม่อยากปิดกล้องเลย ซึ่งละครถ่ายเร็วมาก แล้วก็ปิดกล้องเร็วจริงๆ เรารู้สึกว่าเรายังสนุกกับเรื่องราวของละครเรื่องนี้อยู่เลย อีกอย่างเลยคือผู้กำกับ ทีมงานทุกคนน่ารักมากๆ เลยครับ”

นิยามตัวตนเป็น 3 คำ พร้อมบอกเหตุผล?

“คงเป็น เต็มที่ ขี้เล่น จริงใจ เต็มที่คือ เวลาอินดี้ทำอะไร อินดี้จะเต็มที่ จะพยายามไม่ให้ใครมาว่าอินดี้ได้ ส่วนตัวอินดี้เป็นคนที่ไม่ชอบเรียน เราเรียนเอาจบพอ เอาแค่สามารถเอาตัวรอดได้ เป็นคนที่ไม่ได้มีความสุขกับการเรียน แต่พอมาถึงในช่วงเวลาที่เรามาทำงานจริงๆ เราเต็มที่มากๆ ถึงขนาดนี้ เราไม่ให้ใครมาติเราได้ ในเรื่องของบทบาทที่เราได้รับ ถ้ามีคนด่าว่าอินดี้โง่ เรียนไม่เก่ง อินดี้ชิล แต่อินดี้เป็นคนถือมาก หากมีคนเดินมาบอกว่า กระจอก เล่นได้แค่นี้หรอ อินดี้ถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ การด่าสองอย่างนี้มันแทบจะเหมือนกันเลยนะ แต่ทำไมอินดี้ถึงรู้สึกกับเรื่องงานมากกว่า เพราะว่าอินดี้เต็มที่ เพราะเราใส่ใจ เราเต็มที่จริงๆ อินดี้เต็มที่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผลตอบรับที่เราจะได้รับตอบกลับมา อินดี้จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราได้เต็มที่”

“สองคือ ขี้เล่นคือ อินดี้เป็นคนที่ชอบทำให้ทุกคนที่ร่วมงานกับอินดี้ มีความสุข และสบายที่สุด ตั้งแต่สวัสดิการกองถ่าย ไปจนถึงนักแสดง ผมจะเล่นกับทุกคน การที่เราสนิทกับทีมงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นตากล้อง ผู้กำกับ สวัสดิการ ช่างหน้า ช่างผม ใครก็แล้วแต่ ถ้าทุกคนเขาเล่นกับเรา หรือสนุกไปกับเรา บรรยากาศกองถ่ายมันจะไม่ตึงเครียด มันจะทำให้ทุกอย่างสบายใจขึ้น สามารถคุยกันได้ทุกคน เพราะทีมงานทุกคนเรามีสิทธิ์ได้เจอกันในเรื่องต่อไป เรามีสิทธิได้เจอตากล้อง ผู้กำกับ หรือแม้กระทั่งสวัสดิการเราก็อาจจะได้เจอ ชีวิตผม ผมเจอสวัสดิการทีมเดิมมา 4 รอบ บังเอิญขนาดไหน มันเลยเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่า ถ้าเราขี้เล่นกับเขา เราสนุกกับเขา เขาจะรู้และมองเราว่า อินดี้เป็นคนสบายๆ นะ เจตนาของอินดี้เลยคือ ไม่อยากให้ทุกคนเกร็ง ไม่อยากให้ทุกคนต้องมานั่งอึดอัดที่ต้องมาเจอกับเรา ถึงแม้ว่าอินดี้เป็นคนที่หน้าหยิ่งมาก แต่จริงๆ ผมไม่เลย จะเป็นคนเอ็นจอยกับทุกคน จะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนผ่อนคลายมาก”

“สุดท้ายคือ จริงใจ อินดี้เป็นคนที่ ถ้าเราให้ใจใคร ไม่ว่าจะฐานะเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ เพื่อนสนิทเรา หรือคนที่เราชอบ คนที่เรารัก คือเราก็จะจริงใจจริงๆ และเราก็แสดงให้เขารู้ว่าเราจริงใจมากๆ แต่ถ้าสิ่งที่เราได้รับตอบกลับมา มันไม่ได้เป็นความจริงใจ เราจะเป็นคนมาคิด ถ้ามันยังสามารถไปต่อได้ มันก็ไปต่อได้ แต่ถ้าเรารู้สึกว่า ทำไมเราถึงกลายเป็นฝ่ายที่จริงใจอยู่ฝ่ายเดียว มันก็จะเป็นสิ่งที่เราต้องตัดออก เดินหน้าต่อไปครับ”

ความชอบส่วนตัวกิจกรรมโปรดที่ทำเป็นประจำ เพราะอะไรถึงทำ?

“เตะบอล ฟิตเนส แล้วก็เล่นเกม สองอย่างหลังคือ เราทำมาตั้งแต่เด็ก ยกเว้นฟิตเนส หนึ่งเลยอินดี้เป็นคนที่ไม่ชอบตัวเองในฉบับอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ และเรื่องของร่างกาย ไม่ชอบ มันเป็นเหมือนกฎเหล็กของเรามาตั้งแต่เด็กแล้วว่า อย่าให้ตัวเองอ่อนแอนะ คือเราจะพลาดอะไรก็แล้วแต่ แต่เราต้องแข็งแรง ล่าสุดที่ล็อกดาวน์ไป แล้วฟิตเนสปิด เป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานมาก เพราะว่ามันไม่ได้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผมเป็นคนชอบออกกำลังกายมาโดยตลอด แล้วพอมันหยุดไป 5-6 เดือน มันเป็นอะไรที่ ส่งผลกระทบต่อเรามาก ทั้งเรื่องของจิตใจและก็ร่างกาย ถ้าวันไหนผมได้เล่นฟิตเนส วันนั้นผมจะหลับสนิทมาก มันได้ผ่อนคลาย มันจะเห็นได้ชัดเลย มันจะไม่มีการตื่นกลางดึกเลยครับ”

ไอดอลในการทำงานในวงการบันเทิงของตนเองคือใครเพราะอะไร?

“คุณพ่อกับคุณแม่ครับ มีหลายอย่างที่เป็นต้นแบบให้กับผมเยอะเลยครับเช่น เรื่องของความไม่เที่ยงธรรม ไม่ยุติธรรมในการทำงาน แล้วเราชอบตั้งคำถามขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น อย่างเรื่องการเพิ่มซีนนอกจากเบรกดาวที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่ทำการบ้านตามที่เบรกดาวแจ้ง แล้วถ้าเกิดมีเพิ่มฉากถ่ายทำ ผมจะเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า เพิ่มทำไม เพิ่มเพื่ออะไร คือตามที่ให้มาในเบรกดาว เราก็เต็มที่ทำการบ้านมาอย่างตั้งใจ แต่พอมันเกิดการเพิ่มขึ้นมา ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น บางทีเราก็มีงานต่อครับ สมมติถ่ายเสร็จ 5 โมง แล้วมีเพิ่มขึ้นมาอีก 3 ซีน ซึ่งจะต้องถ่ายจริงๆ เราก็ต้องยกเลิกงานนั้นทิ้งไป แต่ผมก็ไม่ได้ถึงกับขนาดว่าโวยนะครับ แต่มันจะเป็นคำถามขึ้นมาในใจ แต่ในขณะที่พ่อแม่เรา กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นปัญหา อ๋อ มันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งผมจะก้านโลกมากกว่าเขา เราจะรู้สึกทำไม ทำไม”

“ส่วนหนึ่งผมเองเป็นคนที่ชอบตั้งคำถาม กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่มันย้อนแย้งไม่ถูกต้อง เราเกินทางตรงมาตลอด แต่ถ้าอยู่ดีๆ ให้เราเลี้ยวขวา อ้าว ทำไมเลี้ยวขวา และอีกสิ่งที่พ่อแม่เป็นไอดอลของการทำงานอีกอย่างหนึ่งเลยคือ พ่อกับแม่ผมเป็นคนที่จะยิ้มรับกับทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้ายหรือดี ตั้งแต่เค้าหนุ่มๆสาวๆ จนถึงปัจจุบัน แต่ว่าผมจะเป็นคนที่เก็บสีหน้าไม่อยู่ ซึ่งพ่อกับแม่ทำได้ แต่ผมทำไม่ได้ และมันเป็นสิ่งที่ผมต้องแก้ไข และนำมาปรับปรุง เพราะการมาอยู่ตรงจุดนี้ เราต้องเปิดกว้าง และเข้าระบบการทำงานครับ พ่อกับแม่จะบอกกับผมเสมอว่า เราอยู่ในจุดที่เราต้องทำทุกอย่างให้มันเสร็จสิ้นที่สุดเท่าที่จะทำได้”

คุณพ่อ กับคุณแม่เป็นคนสอนการแสดงให้ไหม?

“ตั้งแต่ผมเล่นละครมา เรื่องแรกจนถึงปัจจุบัน พ่อกับแม่ผมไม่เคยสอนแอคติ้งให้กับผมเลย เขาบอกว่าเรื่องแบบนี้เขาสอนไม่ได้ มันเป็นประสบการณ์ที่เราต้องได้รับเอง หนึ่งเลยคือประสบการณ์ และสองคือความเป็นมืออาชีพของคนตรงข้ามที่เราได้เล่นด้วย ส่วนปอฝ้าย หรือน้องจูน ชลฤดี ถือเป็นมืออาชีพสำหรับผมมาก เขาเป็นคนทำการบ้านมาดี เขาเป็นคนที่ซึมซับกับบรรยากาศได้เร็ว ซึ่งผมไม่เคยเจอคนแบบนี้ เขาเก่งมากๆ บรรยากาศในที่นี้คือ บรรยากาศในฉาก ไม่ว่าฉากนั้นจะเป็นอย่างไร เขาจะรับไวมาก แม้กระทั่งตัวผมเอง ผมยังทำแบบเขาไม่ได้เลย สมมติฉากนี้เป็นฉากตลาด เขาทำให้ทุกคนเชื่อจริงๆว่าเขาอยู่ในตลาด เขาจะปรับอารมณ์เร็วมาก ซึ่งผมยังทำไม่ได้แบบนั้นเลย เราสามารถปรับอารมณ์กับคนเล่นด้วยได้ แต่เราไม่สามารถปรับอารมณ์ให้เข้ากับสถานที่นั้นได้”

เป้าหมายต่อไปในวงการคืออะไร?

เป้าหมายของผมก็คือ ยังอยากเล่นละครคอมเมดี้อยู่ ยังอยากเล่นถ้ามีโอกาสจริงๆ เพราะรู้สึกว่าหลังจากจบละครเรื่องนี้ไป มันเป็นหนึ่งในความสนุกของการทำงานจริงๆ ผมอยากพัฒนาตัวเองในการแสดงแนวคอมเมดี้ด้วย ไม่ใช่ว่าบทดราม่าไม่สนุก แต่บทดราม่ามันเครียด และบางครั้ง มันติดกลับไปอยู่ที่บ้าน และผมเชื่อว่านักแสดงทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ว่าการเล่นดราม่ามันไม่สนุก มันเครียด มันเหนื่อย ต่อให้รุ่นอาวุโส ถ้าคนที่ไม่เคยรับบทแบบนี้จะไม่รู้เลยว่ามันอึดอัดใจมาก เพราะอารมณ์เศร้า เก็บกดมันยังค้างอยู่ภายในจิตใจของเรา ถึงแม้จะแสดงละครเสร็จไปแล้วก็ตาม อย่างผมที่ไม่เคยเล่นคอมมาดี้มาก่อนเลย พอมาเจอเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่ามันสนุกมากจริงๆ และอยากพัฒนาตัวเองในบทบาทนี้ครับ”

ความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แฮปปี้หรือเฉยๆ หรือยังไง?

ก็มีครับ แต่ว่าไม่ได้เป็นความรักที่สีชมพู ไม่ได้หวานแหวว อินเลิฟขนาดนั้น มันเป็นฟิลเฉยๆ แต่ความเฉยๆ ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่ เจอกันก็กินข้าว แค่เราเข้าใจกัน ณ ตอนนี้มันเลยจุดที่จะมานั่งป้อนข้าว ป้อนไอติม เรามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาเป็นเหมือนความสบายใจ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ก็เป็นคนนอกวงการครับ”

สเปกเราเป็นอย่างไร?

“ถ้าหน้าตา อินดี้ชอบฝรั่ง ลูกครึ่ง ชอบหน้าคมๆ ผมชอบลูกครึ่งมากจริงๆ ไม่ชอบหมวย ผมชอบคนที่ทำงานเก่ง สองเลยคือคนที่รักคนรอบตัวเรา สามคือคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เพราะการทำงานแบบเรามันโตไวมาก เราทำงานกับคนไม่ซ้ำหน้า เจอคนมาเยอะ ผมชอบคนที่มีความคิดที่โต เข้าใจเรา รับเราได้ในทุกๆ เรื่อง จะไม่ชอบคนที่สมมุติว่าเรายื่นดาบให้เขา แล้วเขายื่นดาบให้เรากลับ ตรงนี้สำคัญกับผมมาก บางทีความเหนื่อยของคนเรามันไม่เท่ากัน บางทีเราไม่รู้ว่าเราเหนื่อยแค่ไหน เขาเหนื่อยแค่ไหน เราก็ไม่รู้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ผมไม่ชอบคนกินเหล้า แต่กินได้นะ ไม่ใช่ว่าไม่กินเลย แต่ไม่ชอบแบบปาร์ตี้ทุกวัน ดื่มด่ำบรรยากาศได้ แต่แบบวันนี้ที่ไหน พรุ่งนี้ที่ไหน ไม่ได้ ต้องบอกก่อนว่า คนกินเหล้าทุกวันไม่ผิด แต่ผมแค่ไม่ชอบ ผมชอบผู้หญิงที่เหมือนแม่ของผมครับ”

มองความรักของตัวเองตอนนี้กับ 10 ปีก่อนและอนาคตอีก 10 ปีต่างไปไหม?

“10 ปีที่แล้วต่างมาก ผมว่ามุมมองความรักของผมมันเปลี่ยนทุกปี ตั้งแต่อายุ 20 ถึงปัจจุบัน ที่กำลังจะเข้า 30 ปีแล้ว เพราะว่าผมเจออะไรมาเยอะมาก ในเรื่องที่เราไม่คาดคิดว่าเราจะเจอ มันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ เมื่อก่อนผมยอมรับว่าเป็นคนที่อารมณ์ร้อนมาก ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรที่ทำให้เราไม่ถูกใจ ผมเลิกเลย ไม่เอาเลย เช่นวันนี้ผมจะไปเตะบอล แล้วเขาตอบกลับมาว่า ทำไมต้องวันนี้ ผมก็จะตอบประมาณว่า มีปัญหาอะไร มีปัญหาก็เลิกเลยสิ แต่พอเราโต เรารู้สึกว่า เราเปลี่ยนตัวเราดีกว่า เราต้องหัดมองในมุมมองคนอื่นมากขึ้น ส่วนอีก 10 ปี ข้างหน้า ณ ตอนนี้ยังไม่มีแผน เรารู้สึกว่า เรายังไม่สามารถที่จะดูแลชีวิตตัวเองได้เท่าที่ควร ถามว่าตอนนี้เอาตัวรอด ดูแลตัวเองได้ไหม ได้ แต่ระยะยาวไม่ได้ เราไม่รู้ว่าอีก 10 ปี จะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากแต่งงาน แต่อยากมีลูก ก็คืออยากมีครอบครัวแหละ เหตุผลที่อยากมีลูกก็คือเราเป็นคนชอบทำกิจกรรม ผมชอบต่อเลโก้ ผมรู้สึกว่าถ้าผมมีลูก ผมจะสอนเขาต่อ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ทุกอย่างมันสามารถทำด้วยกันได้”

ถ้าให้จำลองสถานการณ์ 1 เหตุการณ์เพื่อจีบสาว อยากทำอย่างไร เพราะอะไร?

ผมจะเป็นคนที่ไม่เข้าไปหาใครก่อน แต่ถ้ามีจริงๆ เรารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก ผมจะไม่เข้าไปขอไลน์ ผมจะเดินไปคุยกับเขา แต่จะไม่ขอไลน์นะ จะไม่มีการขออะไรทั้งสิ้น คือจะไม่ได้เปิดเลยว่า ขอโทษนะครับ ขอเบอร์ หรือมีแฟนไหมครับ มันไม่ใช่ผม ไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีนะ แต่ผมรู้สึกว่าทำแบบนั้นมันเหมือนไม่ได้ให้เกียรติเขา ถ้าชอบจริงๆ นะ ผมจะเข้าไปคุย ขออนุญาตนั่งคุย ถ้าเขาให้ก็คือคุย คุยไปเรื่อยเปื่อย มาบ่อยไหม อะไรแบบนี้ และผมชอบชวนผู้หญิงไปนั่งร้านกาแฟ เพราะมีความรู้สึกว่านั่งคุยกันได้นานกว่า เพราะถ้ากินข้าว พอทานเสร็จ มันต้องรีบลุกออกไปแล้ว แต่ร้านกาแฟ สามารถนั่งได้เรื่อยๆ คือถ้าชอบใครจริงๆ เราเริ่มด้วยการให้เกียรติเขาก่อน แล้วเขาจะรู้สึกดี จริงใจกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบเรา เขาก็จะรู้สึกว่า คนๆ นี้อย่างน้อยก็ให้เกียรติกัน”

มุมมองความรักเรียกความรักของตนเองว่าอะไร?

“ผมเป็นคนที่ให้ใจให้ใคร ผมให้ร้อยเลย คือเปิดด้วยร้อย แล้วผมเป็นคนที่สม่ำเสมอมาก เช่น มาทำงาน ถ้าเขาให้ผมถ่ายรูปให้ดู ผมก็จะถ่าย วันนี้มาเตะบอล ผมก็จะถ่ายสนามฟุตบอล แต่ถ้าเราให้ 100 แล้วเราได้รับมาแบบไม่เหมือนที่เราให้ ถ้ามันเป็นเรื่องที่หนักมากจริงๆ จากร้อย จะค่อยๆผ่อนลงมา ถ้าสมมติว่าเป็นแฟนกันแล้ว ผมจะไม่ค่อยๆ ให้ 10 20 ผมคือ ให้ร้อยเลย ถ้ามันจะผิดหวังจะเสียใจ ก็คือเราให้ไปแล้ว จะไม่มีการมานั่งเสียดายหรือเสียใจ ส่วนหลายคนที่มองว่าผมเจ้าชู้ ถ้าไม่มีแฟน ก็อาจจะมองว่าผมเจ้าชู้แหละ แต่ถ้าผมมีแฟน ก็คือไม่เลย”

ฝากผลงานสักหน่อย?

ขอฝากเลยครับ สูตรเล่ห์เสน่หา ออกอากาศแล้วทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 19.00 น.เป็นเรื่องแรกของผมจริงๆ ที่เล่นละครคอมเมดี้ และมันเป็นศาสตร์ใหม่ในการที่ได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำจริงๆ เป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนนักแสดงทุกคน ผู้กำกับ และทีมงาน ทุกคนทำเต็มที่มาก ยิ่งตัวละครทุกตัวมาร่วมกัน ยิ่งทำให้ละครเรื่องนี้ออกมาสนุก เป็นละครอีกเรื่องที่ผมเชื่อว่า ไม่มีแผ่วในทุกอีพี ปกติผมจะไม่ค่อยขำกับผู้หญิงที่เล่นตลก แต่สำหรับผม ผมขำพี่เฟิร์น จูน และมิเชลตลอด มันทำให้ผมรู้สึกว่า เรื่องนี้มันสนุกจริงๆ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ก็จะสนุกไปกับพวกเราแน่นอนครับ”

แหม…เรียกว่าจัดเต็มทุกด้านทุกมุมของชีวิตเลยก็ว่าได้เนอะ ใครเป็นแฟนคลับของหนุ่มอินดี้ก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์และมาให้กำลังใจทุกๆ ผลงานของหนุ่มคนนี้กันนะจ๊ะ


คอลัมน์ “1 Day with ซุปตาร์”

โดย “yimyim”