เรียกได้ว่าเป็นเวลายาวนานกว่า 5 ปีแล้วที่ผู้คนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องคอยเฝ้าระวัง และรับมือกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “โควิด-19” ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยพบครั้งแรกในนครอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ ในวันที่ 30 มกราคม 2563 และประกาศให้เป็น “โรคระบาดใหญ่” ในวันที่ 11 มีนาคม 2563

โดยปัจจุบันจากข้อมูล ณ วันที่ 8 ธันวาคา 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานสถิติตั้งแต่เริ่มการแพร่ระบาดมีผู้ป่วยสะสมทั่วโลกทะลุไปแล้วกว่า 700 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมทะลุไปถึง 7 ล้านรายไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนสถิติในประเทศไทยทางกระทรวงสาธารณะสุขรายงาน ณ วันที่ 23 ธ.ค. 2567 มียอดผู้ป่วยสะสมกว่า 4,801,567 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 34,741 ราย แม้ก่อนหน้านี้ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว แต่อัตราผู้ป่วยสะสม และอัตราการเสียชีวิตยังคงพุ่งสูงขึ้นทุกวัน

ซึ่งขณะนี้ความสนใจและความตระหนักในความสำคัญของการรับวัคซีนโควิด-19 ลดน้อยลงไป อาจเกิดจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีนเนื่องจากมีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่องที่สร้างความวิตกกังวลและลดทอนความเชื่อมั่นในวัคซีนอีกทั้งหลาย ๆ คนที่ได้รับเชื้อก็ไม่พบอาการรุนแรงทำให้อาจละเลย

แต่จากข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลกระบุว่า การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการฉีดวัคซีนโควิด-19 ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ นับจากปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วกว่า 13,000 ล้านโด๊ส ซึ่งมีการติดตามและเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์อย่างเป็นระบบในแต่ละประเทศ ในปี พ.ศ. 2564 วัคซีนโควิด-19 ช่วยป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 14.4 ล้านคนทั่วโลก สามารถพบอาการข้างเคียงของวัคซีนโควิด-19 ได้เหมือนกับวัคซีนชนิดอื่น ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยและเป็นชั่วคราว เช่น การปวดบริเวณที่ฉีดยา อ่อนเพลีย ไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาการข้างเคียงที่รุนแรงพบได้น้อยมาก แต่หากมีอาการมากขึ้นและไม่หายไปภายใน 2-3 วัน ควรพบแพทย์ทันที

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “ผู้ป่วยสูงอายุ” จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง และดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้สูงที่มีอายุมากกว่า 70 ปี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่สามารถป้องกันเชื้อไวรัส หรือเชื้อโรคจะลดลง และถึงแม้ว่าผู้สูงอายุที่มีสุขภาพร่างกายแรงแข็งก็ยังคงมีโอกาสเสี่ยงติดโควิด-19 ได้มากกว่าคนในวัยอื่นๆ นอกจากนี้ผู้สูงอายุติดโควิดที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด จะมีความเสี่ยงติดโควิดได้ง่าย และอาจจะทำให้อาการรุนแรงมากกว่าผู้สูงอายุติดโควิดทั่วไป ซึ่งอาการอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ขณะที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์โรคโควิด 19 รายสัปดาห์ ยังคงพบรายงานผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ยังไม่เกินความสามารถของระบบการรักษาพยาบาล ห่วงกลุ่มเสี่ยง 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุป่วยหนักเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากข้อมูลพบว่า ผู้ที่มีอาการรุนแรงใส่ท่อช่วยหายใจและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีรายรายจากต่างประเทศว่า “นายมาร์ก บัตเลอร์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุผู้สูงอายุแห่งประเทศออสเตรเลีย ได้ส่งสาสน์ถึงประชาชนชาวออสเตรเลียผ่านสื่อ (media release) เรียกร้องและเชิญชวนให้ผู้สูงอายุชาวออสเตรเลียและผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนบูสเตอร์สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รุ่นใหม่ล่าสุดก่อนการระบาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี ซึ่งวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ “JN.1” ของไฟเซอร์ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อต้านทานไวรัสสายพันธุ์ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องกว่าวัคซีนรุ่นก่อนหน้านี้ มีให้บริการแก่ประชาชนแล้ว โดยวัคซีนนี้มีเป้าหมายต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ใหม่กว่าวัคซีนก่อนหน้านี้

วัคซีนบูสเตอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้พักอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 เพราะอายุที่มากและสุขภาพที่เปราะบาง โดยวัคซีนโควิด-19 สามารถรับได้ฟรีจากแพทย์ประจำตัว เภสัชกร ตลอดจนศูนย์บริการสุขภาพชุมชน หรือบริการสุขภาพชาวอะบอริจิน โดยสถานดูแลผู้สูงอายุมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนทันที

คำแนะนำสำหรับการฉีดวัคซีนในออสเตรเลีย:

• ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป: แนะนำให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ทุกๆ 6 เดือน
• ผู้ที่มีอายุ 65-74 ปี: แนะนำให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ทุกๆ 12 เดือน และสามารถพิจารณาฉีดเพิ่มเติมทุกๆ 6 เดือน
• ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: แนะนำให้ฉีดวัคซีนทุกๆ 6 เดือน
• ผู้ที่มีอายุ 18-64 ปี และไม่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง: สามารถพิจารณารับวัคซีนบูสเตอร์ทุกๆ 12 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ หรือติดต่อผู้ให้บริการด้านสุขภาพ https://markbutler.us8.list-manage.com/track/click?u=8a3d58d1cfb663c4dcefbc00d&id=ec77d6a1d1&e=952efddb87

กรมสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุได้แจ้งไปยังสถานดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศออสเตรเลีย เพื่อเตือนถึงความรับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและให้บริการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการคุณภาพและความปลอดภัยสถานดูแลผู้สูงอายุจะติดตามอัตราการฉีดวัคซีนในแต่ละแห่ง และดำเนินการตามความเหมาะสมหากพบปัญหา องค์การกำกับดูแลผลิตภัณฑ์รักษาโรคของออสเตรเลีย (Therapeutic Goods Administration) ได้ตรวจสอบและอนุมัติวัคซีนโควิด-19 Pfizer รุ่น JN.1 ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ฯพณฯ นายมาร์ก บัตเลอร์ (The Hon Mark Butler MP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุผู้สูงอายุแห่งประเทศออสเตรเลีย ได้กล่าวไว้ในสาสน์ถึงประชาชนผ่านสื่อมวลชนว่า “รัฐบาลออสเตรเลียมีความมุ่งมั่นที่จะจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่ทันสมัยที่สุดให้กับประชาชนเพราะการฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรง การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการเสียชีวิตจากโควิด-19 ”

“หากคุณมีสมาชิกครอบครัว เพื่อน หรือคนที่คุณรักที่อาศัยหรือทำงานในสถานดูแลผู้สูงอายุ ขอให้ช่วยกันสนับสนุนให้พวกเขาได้เข้ารับวัคซีนโควิด-19” คำกล่าวปิดท้ายของ ฯพณฯ นายมาร์ก บัตเลอร์ (The Hon Mark Butler MP)

ที่มา : Older Australians urged to get new Covid booster | Health Portfolio Ministers | Australian Government Department of Health and Aged Care

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ประชาชนในหลายภาคส่วนยังคงเฝ้าติดตามกันอยู่ไม่น้อย เพราะยังคงมีผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน แม้จะยังไม่มีผู้เสียชีวิตรายวัน แต่ก็ยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้

ดังนั้นการป้องกันโรคในด่านแรกคือการระวัดระวังตัวเองของประชาชนด้วยการล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชม ในที่ที่แออัด รวมไปถึงการกระตุ้นให้มีการฉีควัคซีนโควิดซ้ำปีละเข็มเพื่อเป็นการบูสเตอร์ภูมิคุ้มกันให้กลุ่มผู้เสี่ยงสูง ถึงแม้ปัจจุบันทางภาครัฐจะประกาศให้โควิด-19 กลายเป็น “โรคประจำถิ่น” แล้ว แต่ก็ยังคงมีการติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลซึ่งบางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในขณะนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวหรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม 608 ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ทางภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่มีมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ตระหนักถึงเรื่องนี้ เพื่อป้องกันให้ประชาชนในกลุ่มพิเศษ และประชาชนทั่วไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้มากยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตต่อไปด้วย..