จุดที่ทำให้เธอตัดสินใจลองเปลี่ยนทางเดินชีวิต โดยลาออกจากการเป็นคุณครู แล้วมุ่งหน้าสู่ชีวิตชาวไร่ชาวสวน พร้อมกับเริ่มต้นทำคอนเทนต์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตใหม่ในฟาร์มของเธอ จนมีเอฟซีติดตามล้นหลามในโซเชียล ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จักกับสาวคนนี้…

ฟิล์ม-ศิรัญญา” สาวเจ้าของเรื่องราวนี้ บอกเล่ากับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า ปัจจุบันเธออายุ 29 ปี โดยเป็นสาวภูไทแท้ ๆ เพราะเกิดและเติบโตที่ตำบลหนองนกเขียน อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี ส่วนสถานะชีวิตปัจจุบันเธอแต่งงานแล้ว สามีคือ อลงกรณ์ นันทะแสง ซึ่งตัวเธอนั้น หลังเรียนจบปริญญาตรีจากคณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ช่วงปลายปี 2563 เธอก็สอบเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยครู สังกัด อบจ.อุดรธานี โดยสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนกุงเจริญวิทยา สอนวิชาภาษาไทย ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ที่สอนจะเป็นนักเรียนชั้น ม.ปลาย

พอเริ่มทำงานมีเงินเดือน เราก็เริ่มวางแผนชีวิต จะเรียกว่าช่วงที่เริ่มทำงานเป็นช่วงที่เราก็เริ่มค้นหาทางของตัวเองก็ได้ค่ะ ซึ่งสิ่งแรกที่มองไว้ คือจะมองในเรื่องของความมั่นคงในชีวิต ว่าตอนนี้เรามีอะไร แล้วเราจะทำอะไรให้มันคุ้มค่า หรือใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์ที่สุด ก็เลยตัดสินใจทำฟาร์มควบคู่ไปพร้อมกับการทำงานประจำไปด้วย เป็นฟาร์มวัวบรามันเลือดผสม ซึ่งตอนนี้มีอยู่ราว ๆ 30 ตัว ก็อยู่ในช่วงพัฒนาสายพันธุ์อยู่ โดยเป็นการทำร่วมกับแฟน แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงลองผิดลองถูกอยู่”เธอเล่าเรื่องนี้

ส่วนสาเหตุที่เริ่มต้นทำฟาร์มเลี้ยงวัวนั้น ฟิล์ม ขยายความว่า หลังคบแฟนมาสักพัก เธอก็ตั้งใจจะลงหลักปักฐานด้วยกัน จึงตัดสินใจทำฟาร์มด้วยกัน โดยเริ่มต้นจากการกู้เงินเอามาซื้อที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ของพ่อแม่เธอ เพราะคิดว่าเวลาทำฟาร์มพ่อกับแม่จะได้ช่วยดูแลให้ด้วย แต่หลัก ๆ ก็จะจ้างคนให้มาช่วยดูแลเลี้ยงวัวให้ โดยพ่อแม่เธอจะช่วยดูความเรียบร้อยให้อีกทีหนึ่ง เพราะตัวเธอต้องไปสอนหนังสือ และแฟนเองก็มีธุรกิจส่วนตัวของทางบ้านที่ต้องช่วยดูแลให้ครอบครัวเช่นกัน ซึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะลาออกจากอาชีพครูมาทำฟาร์มเต็มตัวนั้น เธอบอกว่า ช่วงประมาณกลางปี 2566 เธอตัดสินใจลาออกจากงานผู้ช่วยครู เพราะรู้สึกตัวเองว่าอยากใช้ชีวิตแบบชาวไร่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ฟิล์มย้ำว่า กับอาชีพครูก็เป็นงานที่เธอรักและมีความสุขเหมือนกัน แต่เมื่อต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะอยากทำให้ดี เธอก็เลยเลือกงานในฟาร์ม เพราะรู้สึกว่าเวลาออกไปสูดอากาศ หรือได้อยู่กับธรรมชาตินั้น เหมือนมีพลังงานบวกที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมากกว่า

จริง ๆ เรารักอาชีพครูนะ เพราะมีความสุขที่ได้สอน ได้เห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ แต่ก็มีความกดดันจากงานอื่น ๆ อย่างพวกงานเอกสาร งานพิเศษที่นอกเหนือจากงานสอน จึงรู้สึกเครียดบ้าง ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเราเองมีประสบการณ์ในการทำหน้าที่ตรงนั้นไม่มากพอ” เธอเผยความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้เล่าอีกว่า หลังเริ่มมีความเครียดสะสมจนรู้สึกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว เธอก็รวบรวมความกล้าอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจลาออก เพราะการทำงานหมายถึงความมั่นคงของชีวิต และยิ่งในปัจจุบันสังคมได้ให้ “นิยามผู้หญิงสวย” ว่าคือ ผู้หญิงที่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง ดูแลตัวเอง หรือยืนด้วยขาของตัวเองได้ จึงรู้สึกกดดันเมื่อต้องตัดสินใจแบบนี้ และอีกอย่างหนึ่ง อาชีพครูคือความฝันของพ่อแม่ด้วย เพราะอยากให้ลูกสาวเป็นข้าราชการครู แต่ที่สุดเธอก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางใหม่

อีกลุคของ “มาดามชายทุ่ง”

ตัดสินใจไปบอกพ่อแม่ตรง ๆ ว่าจะลาออก แรก ๆ ท่านก็ไม่ยอม แต่ก็อธิบายให้ฟังถึงเหตุผลว่าเรามีความกดดัน และอีกเหตุผลคือเงินเดือนที่ได้แค่ 15,800 บาทนั้น พอต้องหักค่างวดรถไป 10,000 กว่าบาท เติมน้ำมันอีกเดือนละ 2,000-3,000 บาท ไหนจะมีค่าภาษีสังคมอีก แต่ละเดือนก็แทบจะไม่มีเงินเหลือใช้ แถมบางเดือนต้องขอเงินพ่อแม่ใช้อีก แต่ถ้าเธอลาออกมาตั้งใจเลี้ยงวัว ช่วยพ่อแม่ดูแลบ้านสวน ช่วยแฟนทำธุรกิจส่วนตัวที่เป็นเกษตรเชิงพานิชย์ เราอาจจะมีรายได้มากกว่านี้ จนสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องลำบากพ่อกับแม่ พ่อกับแม่จึงยอมให้ลาออก และอีกอย่างช่วงนั้นเราเองก็วางแผนที่จะแต่งงานช่วงต้นปี 2567 ด้วย”

ลุคหวาน ๆ สาวภูไท

ฟิล์มเล่าให้ฟัง พร้อมกับยอมรับว่า พอออกมาทำฟาร์มเต็มตัว งานในไร่เหนื่อยกว่าการสอนหนังสือมาก ๆ แต่ทำแล้วมีความสุข แถมยังมีเวลาได้ทำสิ่งที่อยากทำที่ตอนทำงานประจำไม่สามารถทำได้อีกด้วย อย่างเช่นการปลูกดอกไม้ การจัดสวน รวมถึงการ เป็นครีเอเตอร์คอนเทนต์ ที่ทำให้คนรู้จักเธอมากขึ้น โดยตอนนี้มีคนเข้ามาติดตามเธอผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก “มาดามชายทุ่ง / Sirunya Saythong” และเพจ “สาวฟิล์มสู้ชีวิต” รวม ๆ กันแล้วมากถึงกว่า 180,000 คน

คอนเทนต์ที่เราคิดและทำนั้น จะเน้นความเรียล ๆ จะไม่ใช่การแสดง เรียกว่าเป็นสายคอนเทนต์ธรรมชาติ (หัวเราะ) ชนิดที่ทำอะไรอยู่ก็ถ่ายอย่างนั้น ให้แฟนคลับที่ติดตามได้เห็นขั้นตอนการทำงานแต่ละวัน” ฟิล์มกล่าว

ลุคเกษตรกรของมาดาม

และเธอยังเล่าว่า สำหรับชีวิตครอบครัวกับสามีนั้น เธอแต่งงานมาได้ 11 เดือนแล้ว แต่ยังไม่มีน้อง ซึ่งหลังตื่นนอนก็ทำงานบ้านตามปกติ และเมื่อหุงหาอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็จะเตรียมตัวไปไร่เพื่อเอาเสบียงไปส่งคนงานในไร่ และคุยงานกับคนงานในฟาร์ม หรือบางวันก็จะไปลานซื้อขายอ้อยกับมันสำปะหลัง เพื่อช่วยแฟนรับซื้ออ้อยซื้อมันจากชาวบ้าน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจบางทีก็จะเลยไปดูแลสวนหน่อไม้ฝรั่ง ที่มีอยู่จำนวน 3 ไร่ โดยหน่อไม้ฝรั่งนี้นอกจากจะปลูกเพื่อขายและนำมาแปรรูปทำผลิตภัณฑ์แล้ว เธอยังดูแลด้านการตลาดอีกด้วย โดยเธอนำไปขายและโฆษณาผ่านทางสื่อโซเชียล ซึ่งแรก ๆ คิดแค่จะลองทำดูเล่น ๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครสนใจ แต่ทำไปทำมาปรากฏมีคนสนใจมาก จนบางทีมีเอฟซีเหมาไปหมดเลยก็เคยมี

ที่ตัดสินใจมาช่วยพ่อแม่ทำตลาดหน่อไม้ฝรั่งนี้ผ่านโซเชียล เพราะอยากอัปมูลค่าให้กับผลผลิตของเรา เพราะปกติเมื่อเก็บผลผลิตได้ ที่บ้านก็จะเอาหน่อไม้ฝรั่งใส่ถุง แล้วใส่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ตระเวนขายเองตามบ้าน ก็จะได้ราคากิโลกรัมละ 20-30 บาท แต่เรามองว่าราคานี้ทุนหายกำไรไม่ค่อยมี เพราะปกติหน่อไม้ฝรั่งสามารถขายได้กิโลกรัมละหลักร้อยบาท โดยแบ่งตามเกรดที่คัด เช่น เกรดซี กิโลกรัมละ 50 บาท เกรดบี กิโลกรัมละ 70 บาท ส่วนเกรดเอ อาจขายได้ตั้งแต่ 90 บาทไปจนถึงหลักร้อย ปรากฏพอเราเข้ามาเปิดตลาดโซเชียลตรงนี้ให้ พ่อกับแม่ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งบางเดือนที่ขายดี ๆ ก็จะได้เงินตกเดือนละ 50,000-60,000 บาทก็เคยมี” ฟิล์มบอก

ภาพสมัยเป็นคุณครู

ทั้งนี้ เธอยังได้บอกกับเราว่า ชีวิต ณ ปัจจุบันนี้ถือว่ามีความสุขมาก เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เธอก็ยังมีอีกหนึ่งความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จ นั่นก็คือ ธุรกิจออนไลน์ ที่เธอฝันว่าอยากจะทำธุรกิจออนไลน์สักตัวขึ้นมา ที่นอกเหนือจากการทำเกษตร เพราะเธอมองว่า พืชผลการเกษตรมีข้อจำกัดด้านการขนส่ง อีกทั้งระหว่างเพาะปลูกก็มีความเสี่ยงเยอะ เธอจึงมองหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง โดยตอนนี้ที่ทำอยู่ใน TikTok คือการ ไลฟ์สดขายเสื้อผ้า และอีกหนึ่งเรื่องที่เธอก็คิดไว้คือ อยากทำผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ของตัวเอง

เราพยายามสร้างทรัพยากรที่มีอยู่ในมือตอนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ทำให้อยากต่อยอดสิ่งที่ทำอยู่ให้ขยายออกไปให้ไกลขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่อยากต่อยอดกับธุรกิจที่ครอบครัวของเราและของแฟนทำอยู่ก็คือ การทำปุ๋ยอินทรีย์ ที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมี จากดินทอนซึ่งเป็นเศษมันที่หัก ซึ่งเกิดจากการขายมันสำปะหลัง ที่เรามองว่าสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหรือดินปลูกได้” สาวภูไทคนเดิมบอกเล่าความฝันที่มีของเธอให้เราฟัง

ก่อนลากันกับ “ทีมวิถีชีวิต” นั้น “ฟิล์ม-ศิรัญญา” ทิ้งท้ายถึง “คนที่กำลังตามฝัน” ไว้ว่า… ความสำเร็จจะเกิดขึ้นแค่ทำวันสองวันไม่ได้ แต่ต้องทำทุกวัน ความฝันจึงจะเป็นจริงได้ ส่วนตัวแล้วต้องขอบคุณตัวเองที่เลือกออกมาดิ้นรน ขอบคุณที่ตัวเองเลือก แม้จะรู้ว่า…เส้นทางที่เลือกจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และจะต้องเหนื่อย แต่…ก็สุขที่ได้สู้ด้วยตัวเอง”.

ฟิล์มกับคุณแม่และคุณพ่อ

เรียนรู้จากบทเรียนชีวิต’

พ่อกับแม่คือตำราชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับเรา”นี่ก็เป็นเสียงจาก “ฟิล์มศิรัญญา” ที่ระบุกับเราไว้ โดยเธอบอกว่าครอบครัวเธอเป็นครอบครัวระดับปานกลาง ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย โดยครอบครัวเธอมีลูกสาว 3 คน เธอเป็นลูกคนโต ซึ่งเธอและน้องคนกลางเรียนจบปริญญาตรีแล้วทั้งคู่ ส่วนน้องคนเล็กก็กำลังเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปี 4 เธอเองรู้สึกภูมิใจมากที่แม้จะโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวสวน แต่พ่อแม่ก็ทำงานหนักจนส่งลูกเรียนปริญญาตรีได้ทั้ง 3 คน ทำให้เมื่อเธอมีพลัง มีกำลัง และมีความรู้ เธอก็เลยอยากที่จะมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับครอบครัว ด้วยการเพิ่มมูลค่าเพิ่มรายได้ครอบครัว เนื่องจากหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาคนทำเกษตรเจ็บตัวเยอะ เนื่องจากขาดความรู้ด้านการบริหาร เธอจึงอยากมาช่วยเติมเต็มจุดนี้

ครอบครัวเราก็มีแผลจากหนี้สินการทำไร่อ้อย ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ก็เป็นห่วงพ่อกับแม่มากอยากให้หลุดพ้นจากบ่วงหนี้สินตรงนี้ จึงเข้ามาช่วยงานตรงนี้ ซึ่งเราและพ่อแม่มองตรงกันว่า ทางรอดของเราคือการทำเกษตรผสมผสาน ไม่ผูกติดกับพืชใดพืชหนึ่ง หรือปลูกสิ่งที่กิน กินสิ่งที่ปลูก ก็เลยเป็นที่มาในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำกินใหม่ อย่างที่เป็นไร่อ้อย ก็แบ่งปลูกพืชอื่น หรือไม่ก็ขุดบ่อเลี้ยงปลา อย่างน้อยขายไม่ได้เราก็เก็บไว้กิน ไม่ต้องไปซื้อใคร ซึ่งสิ่งที่เราได้มาทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากบทเรียนที่ทั้งเราและพ่อแม่เรียนรู้จากชีวิตจริง”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน