เรียกได้ว่าในปี 2025 นี้ เป็นปีที่การกลับมาของประธานาธิบดีคนที่ 47 อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ทำให้ทั่วโลกสั่นสะเทือนไม่น้อยเลยทีเดียว! เพราะหลังจากปฏิญาณตนรับตำแหน่งได้ไม่นาน เขาก็ได้ประกาศนโยบายหลายประการที่ได้แสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับหนึ่งไว้ก่อน โดยหนึ่งในนโยบายที่เขาได้ออกคำสั่งยกเลิก คือ “นโยบาย DEI” ในหน่วยงานรัฐบาลที่เคยถูกใช้ในยุคของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” (Joe Biden) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นโยบาย DEI ที่มีการใช้งานในสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีผลต่อผู้คนและองค์กรในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลไปถึงแนวคิดขององค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งรวมถึง ‘อุตสาหกรรมเกม’ มาโดยตลอด! ในบทความนี้ FLINT K. จาก เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปสำรวจว่า การเคยมีอยู่และการจากไปของนโยบายนี้ มีผลอย่างไรต่อวงการเกมบ้าง อ่านต่อได้เลยที่นี่

(หมายเหตุ: ภาพประกอบทั้งหมดในบทความนี้ใช้เพื่อการขยายความเนื้อหาเท่านั้น!)

DEI คืออะไร

DEI หรือที่รู้จักในชื่อเต็มว่า “Diversity, Equity and Inclusion” (ความแตกต่าง ความเท่าเทียม และความมีส่วนร่วม) คือนโยบายที่เป็นลักษณะแนวคิดระดับองค์กรที่มุ่งส่งเสริมการปฏิบัติต่อผู้คนทุกเพศทุกวัยอย่างเท่าเทียม รวมถึงให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ถ้าต้องอธิบายให้เข้าใจแบบง่าย คือ นโยบายนี้ทำให้กลุ่มผู้คนต่างเชื้อชาติและกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศมีสิทธิและความเท่าเทียมเท่ากับผู้คนในประเทศนั่นเอง

นโยบาย DEI ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคของ “ประธานาธิบดีไบเดน” เพราะนโยบายนี้เริ่มมาจากแนวคิด การดำเนินการเชิงรุก (Affirmative Action) ใน “คำสั่งบริหารที่ 10925” ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1961 โดยระบุให้หน่วยงานรัฐบาล “ดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้มั่นใจว่าผู้สมัครงานได้รับการจ้างงาน และพนักงานได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา สีผิว หรือถิ่นกำเนิดของพวกเขา” ทำให้คำสั่งดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดการดำเนินการที่มีการป้องกันการเลือกปฏิบัติ

ต่อมา คำสั่งนี้ก็ได้รับการต่อยอดเป็น “กฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1964 (Civil Rights Act of 1964)” ที่มีการออกข้อบังคับห้ามการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เพศ หรือถิ่นกำเนิด โดยทั้งคำสั่งบริหารและกฎหมายสิทธิพลเมืองไม่ได้ให้อำนาจในการเลือกปฏิบัติแบบให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่กฎหมายนี้ก็ถูกคัดค้านในการอภิปรายจากวุฒิสภา ทำให้มันยังไม่มีการบังคับใช้ในยุคของ “เจเอฟเค” โดยสมบูรณ์

หลังจากที่ “ประธานาธิบดีเจเอฟเค” ถูกสังหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1963 ที่ผ่านมา หลายนโยบายที่เขาเคยวางไว้ก็ได้หยุดชะงักลง รวมถึงกฎหมายสิทธิพลเมืองด้วย แต่ประธานาธิบดีที่ขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขาอย่าง ลินดอน จอห์นสัน (Lyndon Johnson) ก็ได้ยืนยันว่าเขาจะผลักดันข้อกฎหมายนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยเขาก็ได้ผลักดันให้ Civil Rights Act of 1964 บังคับใช้ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1964

ความสำเร็จในการผลักดัน กฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1964 กลายเป็นต้นแบบครั้งสำคัญที่ทำให้ “DEI” ถือกำเนิดขึ้นและได้รับการส่งต่อให้กับประธานาธิบดีสหรัฐที่มาจาก “พรรคเดโมแครต” หลายคน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดีจอห์นสัน ไปจนถึง บารัค โอบามา และ โจ ไบเดน ที่ต่างมีการวางงบประมาณเฉพาะด้านนี้ไว้ด้วย

แล้วนโยบายนี้ก็ได้มา “สะดุด” อย่างจริงจัง ในช่วงปี 2016 ที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 แล้วเขาก็ได้มีแนวคิดที่ ‘แตกต่าง’ ไปจากประธานาธิบดีหลายคนก่อนหน้า โดยเขาก็เคยมีการกล่าวถึงทั้งเรื่องของเพศ เชื้อชาติ ในเชิงที่ต่างไปจากแนวคิดเดิม รวมถึงการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่คล้าย แนวคิดอำนาจนิยมของคนผิวขาว (White Supremacy) มาโดยตลอด ทำให้หลายคนในยุคนั้นเริ่มตั้งคำถามถึงเรื่องความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในด้านเชื้อชาติของผู้คนในสหรัฐฯ มากขึ้น

อย่างไรก็ดี แนวคิด DEI ก็ได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ โจ ไบเดน (Joe Biden) ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ต่อจากทรัมป์ โดยเขาได้ลง “คำสั่งที่ 13985 และ 14035” รวมถึงคำสั่งอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งนี้ คือเหตุการณ์เสียชีวิตของผู้ชายผิวสี “จอร์จ ฟลอยด์” (George Floyd) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ที่ถูกจับกุมและถูกทับด้วยเข่าจากตำรวจคนหนึ่งจนไม่สามารถหายใจได้ โศกนาฏกรรมและความผิดพลาดในการปฏิบัติงานในครั้งนี้ กลายเป็นชนวนครั้งสำคัญที่ทำให้กระแส #BlackLivesMatter เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และทั่วโลกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

การผลักดัน “นโยบาย DEI” ของไบเดนอาจทำให้กลุ่มต่างเชื้อชาติและกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศมีสิทธิและเสรีภาพในการใช้ชีวิต ทำงานในสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น แต่มันก็ส่งผลเสียเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย การโอนสัญชาติด้วย ‘วิธีลัด’ การให้สิทธิพิเศษกับกลุ่มทางเลือกมากเกินไป จนทำให้ผู้คนในท้องถิ่นถูกละเลยหรือถูกเลือกปฏิบัติ อย่างหนักที่สุดคือถูกกีดกันจากสิทธิที่ตัวเองควรจะได้เหมือนกับคนกลุ่มนี้ รวมถึงยังเป็นการการจุดกระแสของความ “Woke” ให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้างด้วย

แม้ว่าความ “Woke” ในหลายสิ่งอาจเป็นการเปิดกว้างให้กับผู้คนทุกกลุ่มอย่าง ‘เท่าเทียม’ แต่มันก็เริ่มทำให้ผู้คนทั่วโลกเริ่ม ‘เสียงแตก’ และ ‘ตั้งข้อสงสัย’ ในหลายสิ่งที่เกิดขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมบันเทิง ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น รวมถึง “เกม” และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้สื่อบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงจนผิดไปจากต้นฉบับที่เคยมี หรือภาพจำบางอย่างที่ผู้คนคุ้นเคยก็เริ่มถูกเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงมีการ ‘ยัดเยียด’ แนวคิดความเท่าเทียมจนเกินไป ทำให้หลายคนไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แล้วเริ่มเกิดกระแสต่อต้านมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

ในปัจจุบัน หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2025 เขาก็ได้ออกคำสั่งใหม่ในการยกเลิกนโยบาย DEI ที่ใช้กับทุกหน่วยงานรัฐบาล โดยมีผลทันทีภายใน 60 วัน พร้อมกับให้ทุกหน่วยงานแจ้งงบประมาณที่เคยใช้ไปกับนโยบายนี้ รวมถึงผลประกอบการที่เกิดขึ้นจากนโยบายนี้ให้ชัดเจนภายในเวลาที่กำหนด โดยเขายังได้เน้นย้ำในเรื่องนี้ด้วยการลงนามในคำสั่งไว้ว่า “มนุษย์มีเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชาย และ หญิง โดยสิ่งนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”

DEI มีผลกับวงการเกมได้อย่างไร

นับตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปัจจุบัน การมาของนโยบาย DEI ก็ทำให้หลายหน่วยงานในสหรัฐฯ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เลือกปฏิบัติตามนโยบายใหม่นี้อย่างจริงจัง (แต่ก็มีบางรัฐเลือกที่จะไม่นำนโยบายนี้มาปรับใช้) ซึ่งรวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมในประเทศด้วย ทำให้ตลอดช่วงเวลานี้ เราจะเห็นได้ว่ามีเกมต่าง ๆ ที่สอดแทรก ‘ความเท่าเทียม’ อยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก แล้วมันก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและเริ่มจุดกระแสต่อต้านโดยเกมเมอร์มาตั้งแต่ตอนนั้น

หลายหน่วยงานที่เริ่มมีการจ้างงานผู้คนผิวสีและกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศมากขึ้น ทั้งจากสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่เริ่มนำนโยบายหรือแนวคิดนี้มาปฏิบัติตาม ก็เริ่มมีการนำแนวคิดของคนกลุ่มนี้ไปใส่ไว้ในเกมหลายเกม ในช่วงแรกมันอาจไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราอาจมีโอกาสได้เห็นเกมต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอตัวละครที่เป็นผู้คนผิวสีและกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศอยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่ในปัจจุบัน จำนวนของเกมเหล่านี้กลับเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ รวมถึงยังมีการเปลี่ยนแปลงและ ‘ดัดแปลง’ ไปจาก ‘ต้นฉบับเกมเดิม’ หลายเกมด้วย!

โดยสิ่งที่ทำให้เกมเมอร์หลายคนไม่พอใจเป็นอย่างมาก คือการเปลี่ยนแปลงตัวละครหลักในบางซีรีส์เกมที่เคยเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ให้เป็นเพศตรงข้ามกัน หรือเป็นกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศ หรืออาจเปลี่ยนตัวละครผิวขาวให้เป็นผิวสี มีการอธิบายว่าตัวละครนี้จะต้องมี ‘สรรพนาม’ เรียกว่าอย่างไร รวมถึงยังมีการนำเรื่องราวของคนผิวสีและกลุ่มผู้คนหลากหลายทางเพศไปอยู่ในเกมเชิงประวัติศาสตร์ หรือเคยเป็นภาพจำอื่นที่ผู้คนคุ้นเคย จนทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวละครเกมที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไป และยังรู้สึกเหมือนถูก ‘ยัดเยียด’ ให้เล่นเกมเหล่านี้ด้วย

ที่สำคัญที่สุด ถ้า ‘เกมเพลย์’ หรือภาพรวมในการเล่นของเกมเหล่านี้ไม่โดดเด่น ไม่สนุก ไม่มีความน่าดึงดูด หรือมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็จะทำให้ผู้เล่นยิ่งไม่ต้องการสนับสนุนเกมเหล่านี้ต่อไปอีกด้วย!

ด้วยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ก็ทำให้เกมเมอร์หลายรายเริ่มต่อต้านการทำเกมที่ใส่แนวคิด “Woke” หรือให้การสนับสนุน “นโยบาย DEI” มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่ากระแสการต่อต้านค่ายเกมที่สร้างเกมในลักษณะนี้เริ่มมีมากขึ้น ยอดขายจากเกมเหล่านี้เริ่มลดลง แล้วมันยังส่งผลไปถึงไอพีเกมอื่น ๆ ของค่ายนั้น ๆ รวมถึงเกมใหม่ ๆ ที่หลายคนมองว่าเข้าข่าย Woke ด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้บางค่ายเกมที่อาจฟื้นตัวได้ก็เริ่มมีการปรับปรุงแก้ไขเกม ในขณะที่บางค่ายเกมก็ทรุดจนขาดทุน หุ้นตก หรือเสียนักลงทุนไปเลยทีเดียว

กระแสความ Woke ที่เกิดขึ้นในวงการเกมในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เกมเมอร์หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยและหวาดระแวงมากยิ่งขึ้นว่าเกมที่พวกเขาจะได้เล่นในช่วงเวลานี้จะกลายเป็นเกมที่ถูกยัดเยียดด้วยแนวคิดของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มากกว่าความสนุกสนานและคุณภาพของเกมที่พวกเขาควรจะได้รับ หากทั้งสองอย่างนี้สามารถไปด้วยก็ได้ หรือตัวเกมไม่ได้ยัดเยียดแนวคิดแบบ Woke มากเกินไป ก็คงไม่มีเกมเมอร์คนใดอยากปฏิเสธที่จะเล่น แต่ถ้ามันหนักในด้านแนวคิดมากเกินไป หลายคนก็คงเลือกที่จะออกห่างจากมันได้เช่นกัน

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ DEI ไม่มีผลบังคับใช้กับสหรัฐอเมริกาแล้ว

แม้ว่าในตอนนี้ การยกเลิกนโยบาย DEI ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลกับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันประกาศ แต่มันก็ยังไม่ได้มีผลโดยตรงกับหน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ในต่างประเทศเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรก็ดี ทั้งด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากประเทศมหาอำนาจของโลก รวมถึงกระแสการต่อต้านจากผู้เล่น ก็กลายเป็นประเด็นที่ทำให้องค์กรภายนอกเหล่านี้อาจต้องทบทวนกันต่อไปว่าพวกเขาจะดำเนินงานตามนโยบาย DEI แบบเดิมต่อหรือไม่ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หน่วยงานเหล่านี้จะมองข้ามไปไม่ได้เลย คือเรื่องของ ‘สถิติ’ ที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพราะหลายเกมที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิด Woke อย่างสุดโต่ง ก็มียอดขายที่ไม่ดี มีผู้เล่นน้อยลง บางเกมเข้าขั้นวิกฤติจนต้องปิดให้บริการไปหลังจากประกาศเปิดตัว หรือเปิดให้บริการไปได้ไม่นาน

ถึงแม้ว่า นโยบาย DEI อาจไม่ได้มีผลกับทุกหน่วยงานแล้ว หรืออาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ก็ไม่ได้หมายความว่าหน่วยงานเหล่านี้จะต้องทิ้ง “ความเท่าเทียม” ออกไปแบบ 100% เลยทีเดียว เพราะพวกเขายังสามารถปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับความเป็นจริง และมีความ “เท่าเทียมอย่างแท้จริง” ได้ โดยจะไม่เลือกปฏิบัติกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องไม่ยัดเยียดแนวคิดที่สื่อถึงความเท่าเทียมแบบ ‘ปลอม ๆ’ เข้ามา รวมถึงควรคัดเลือกคนเข้าทำงานด้วยความรู้และความสามารถมากกว่าสถานภาพ

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นการสื่อสารจากผู้เล่นว่า “ความเท่าเทียม” ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ถ้าความเท่าเทียมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเดียวมากเกินไป ยัดเยียดแนวคิดของตัวเองมากเกินไปจนไม่เคารพคนกลุ่มอื่น หรือไปกีดกันคนกลุ่มอื่นเสียแทน ก็ทำให้ “ความเท่าเทียม” ที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีความหมายใด ๆ นั่นเอง ดังนั้น เราก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าแต่ละหน่วยงานและค่ายเกมจะมีการปรับตัวอย่างไร หลังจากที่นโยบาย DEI กำลังจะยกเลิกไปจากสหรัฐอเมริกา และจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของโลกหลังจากนี้

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก: BBC, Sudeshna Basu Roy, Donald J, Trump, usnews.com, Christina @ wocintechchat.com, aclu

——————————————–
THE GAMER LIFE Exclusive Content
คอลัมน์โดย: ภาริช ต่อพิมาย (FLINT K.)
ติดตามเรื่องราวเจาะลึกชีวิต ไลฟ์สไตล์ คัลเจอร์ในโลกของเกมได้ที่: THE GAMER LIFE by FLINT K.