ในช่วงที่สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 มีความหนาแน่นจนส่งผลเสียต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆคนต่างมองหา “เครื่องกรองอากาศ” มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการดูแลสุขภาพ แต่การจะเลือกซื้อทั้งที มีข้อควรคำนึงอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก
โดยทาง “IQAir” ได้เคยเผยถึง “7 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ” โดยที่ตัวเครื่องมีความสามารถในการกรองไวรัสไว้ดังนี้..
“ขนาดไวรัสและอนุภาคที่อันตรายในอากาศ”
โควิด19 (COVID-19) เป็นหนึ่งในไวรัสสายพันธุ์โคโรนา เช่นเดียวกับ ซาร์ส(SARS) และเมอร์ (MERS) ที่เคยสร้างวิกฤตการณ์ในอดีต ไวรัสชนิดนี้ขนาดเฉลี่ยอยู่ที่ 0.06 – 0.14 ไมครอน เล็กกว่าเส้นผมหลายร้อยเท่า ลอยได้ไกลกว่า 4 เมตร อยู่ในอากาศได้นานถึง 45 นาที ยิ่งเจอพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศยิ่งฟุ้งและลอยในอากาศได้นานขึ้น ห้องและสถานที่ปิดจึงเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการแพร่เชื้อ หากไม่มีการกรองอากาศหรือระบบระบายอากาศเข้าช่วย

การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส จึงควรคำนึงถึงความละเอียดของแผ่นกรองเป็นหลักสำคัญ HEPA ในท้องตลาดนั้นกรองได้เพียง 0.3 ไมครอน ส่วน HyperHEPA นั่นมีความเหนือกว่า กรองได้ละเอียดถึง 0.003 ไมครอน ครอบคุลมการกรองไวรัสทุกขนาด (ไวรัสที่เล็กที่สุดในโลกขนาด 0.02 ไมครอน) รวมถึงฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ นอกจากนี้ยังมีอนุภาคเล็กละเอียดที่อันตราย (Ultrafine Particle) ซึ่งมีขนาดเล็กถึง 0.003 ไมครอนและยังมีสัดส่วนสูงถึง 90% ของมลพิษที่เป็นอันตรายในอากาศ
“เทคโนโลยีและวัสดุแผ่นกรอง”
แผ่นกรองเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นิยมนำมาใช้ในเครื่องฟอกอากาศ เนื่องจากปลอดภัยกับผู้ใช้มากที่สุด โดยหากแยกประเภทตามวัสดุในการผลิต แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
-ใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยที่ทำจากโพลีเอสเตอร์หรือพลาสติกนั่นเอง จะไม่มีไฟฟ้าสถิตตามธรรมชาติ ทำให้ต้องมีการเพิ่มประจุไฟฟ้าสถิตไว้บนเส้นใยเพื่อช่วยดักจับอนุภาคให้ติดกับตาข่าย เมื่อใช้ไปนาน ๆ แผ่นกรองสะสมสิ่งสกปรกมาก ๆ จะทำให้เกิดการหน่วงและประสิทธิภาพลดลงได้
-ใยแก้วแท้ ข้อดีของแผ่นกรองชนิดนี้คือมีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถเหนี่ยวนำและยึดอนุภาคให้ติดแผ่นกรองไว้ไม่มีหลุดลอย และคงประสิทธิภาพการกรองได้นานกว่าใยสังเคราะห์
การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส จึงควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นหลักอย่างเทคโนโลยีแผ่นกรองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งวัสดุแผ่นกรองและความหนาก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและยาวนาน

“เข้าใจการคำนวนปริมาตรอากาศในห้องที่ถูกต้อง”
เครื่องฟอกอากาศไม่เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ใช้เพียงพื้นที่ห้อง (ตร.ม.) ในการเทียบสเปคที่เหมาะสม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนวน คือ ปริมาตรอากาศในห้อง (กว้าง x ยาว x สูง) ซึ่งแต่ละพื้นที่มักเพดานความสูงไม่เท่ากัน อากาศเป็นของไหลเหมือนกับน้ำและมีหน่วยปริมาตร (ลบ.ม.) โดยพัดลมเบอร์ต่าง ๆ ของเครื่องฟอกอากาศย่อมให้อัตราการหมุนเวียนอากาศที่ต่างกัน (Airflow) เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรกรองอากาศในพื้นที่ได้อย่างน้อย 2 รอบใน 1 ชั่วโมง รอบยิ่งสูงอากาศในห้องยิ่งสะอาดขึ้น

การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส ต้องเลือกที่มีพัดลมขนาดใหญ่เพื่อดึงอากาศภายในห้องมากรองได้อย่างทั่วถึง ผู้ซื้อควรสอบถามผู้ขายถึงกำลังแรงลมของพัดลมเบอร์ต่าง ๆ ที่เครื่องฟอกอากาศทำได้ใน 1 ชม. เพื่อนำมาเปรียบเทียบปริมาตรอากาศในห้องตามสูตรด้านบน จะได้ตัวเลขรอบการฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

“การออกแบบระบบซีลกรองอากาศ”
หากคุณกำลังเดินเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศและพบช่องว่างในการประกอบเครื่องหรือลองจับเครื่องโยกเบา ๆ แล้วมีเสียงก๊องแก๊งออกมา บอกเลยว่าอย่าซื้อ เพราะอากาศจะไม่ถูกกรอง 100% อย่างแน่นอน การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส ต้องเลือกที่มีระบบซีลที่แน่นหนา ปิดล็อกทุกจุดทุกมุมเพื่อควบคุมให้อากาศทั้งหมดวิ่งผ่านระบบกรองทุกชั้น หรือที่เรียกว่า Zero Leakage นั่นเอง
“มาตรฐานการกรอง”
แผ่นกรอง HEPA ทั่วไป อ้างอิงมาตรฐาน CADR – Clean Air Delivery Rate ซึ่งทำการทดสอบเพียง 20 นาทีและทดสอบเพียงฝุ่น เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ เทียบเท่าการกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนเท่านั้น
การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส เพื่อการันตีประสิทธิภาพการกรองไวรัสได้จริง ควรมองหามาตรฐานที่สมเหตุสมผล เช่น การทดสอบประสิทธิภาพการกรองที่ 0.003 ไมครอน ผลการทดสอบการกรองไวรัสจากสถาบันวิจัย มาตรฐานแผ่นกรองสากล เช่น มาตรฐานยุโรป EN1822 มาตรฐานอเมริกา MERV เลือกแบรนด์ที่เป็นผู้นำด้านระบบฟอกอากาศ มีชื่อเสียง และมีการวิจัยพัฒนามาอย่างยาวนาน

“อายุของแผ่นกรองและความคุ้มค่า”
เครื่องฟอกอากาศบางรุ่น อาจมีแผ่นกรองราคาถูก แต่กลับแนะนำให้เปลี่ยนทุกชั้น ทุก ๆ 3-6 เดือน หรือมีการรวมแผ่นกรองมลพิษและกลิ่นเข้าด้วยกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอายุการใช้งานของแผ่นกรองแต่ละชั้นเสื่อมสภาพไม่เท่ากันตามวัสดุ เช่น HEPA ที่ใช้เส้นใยแก้วหรือใยสังเคราะห์ มีอายุการใช้งานที่นานกว่าแผ่นกรองแบบเม็ดคาร์บอน การเปลี่ยนแผ่นกรองโดยที่ตัววัสดุยังไม่หมดอายุจึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
การเลือกเครื่องฟอกอากาศกรองไวรัส จึงควรมองหาแผ่นกรองที่คุ้มค่า ใช้งานได้ยาวนานตามอายุการใช้งานจริง เลือกเปลี่ยนเฉพาะแผ่นกรองชั้นที่หมดได้ แผ่นกรองอากาศที่ผ่านการใช้งานมาแล้วเปรียบเสมือนถังขยะแห่งมลพิษ ไม่ควรนำกลับมาเคาะ ล้าง ดูดหรือเป่าลมเพื่อใช้ซ้ำ ไม่คุ้มเสี่ยงต่อสุขภาพ มลพิษที่ฟุ้ง ฝุ่นละเอียดและสิ่งปนเปื้อนสามารถลอยเข้าปอดของคุณได้
“การกรองกลิ่นและสารเคมี”
เครื่องฟอกที่วางจำหน่ายโดยทั่วไปนั้นประกอบด้วยแผ่นกรอง HEPA และ แผ่นกรองคาร์บอนที่สามารถดูดซับกลิ่นและสารเคมีที่อยู่ในรูปแบบก๊าซได้เพียงเล็กน้อย หากคุณลงทุนในเครื่องฟอกแล้วควรมองหาเครื่องฟอกอากาศที่มีความสามารถในการกรองก๊าซพิษและสารเคมีที่อันตราย โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านใหม่ หรือบ้านที่เพิ่งได้รับการรีโนเวททาสีใหม่ เนื่องจากวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ใหม่เหล่านี้จะปล่อยสารเคมีออกมาจำนวนมาก

-กลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นอับ กลิ่นอาหาร และบ้านมีสัตว์เลี้ยง สามารถจัดการได้ด้วยเม็ดคาร์บอน คุณควรเลือกตัวกรองคาร์บอนที่ผลิตจากเหมืองถ่านหินที่มีกระบวนการบีบอัดเม็ดถ่านกัมมันต์ที่ซับซ้อน ทำให้มีพลังดูดซับกลิ่นได้ดีเพราะมีความพรุ่นสูงกว่าและยังใช้งานได้นานกว่าคาร์บอนทั่วไปที่ผลิตจากการเผาพืช ไม้ไผ่ กะลามะพร้าว
-ก๊าซพิษ สารเคมี เกิดได้ทั้งในบ้านจากสีเคลือบเฟอร์นิเจอร์ กาววอลเปเปอร์ และนอกบ้านจากแหล่งกำเนิดอื่น ๆ สามารถจัดการได้ด้วยเม็ดชุบอะลูมินาที่มีความสามารถในการดูดซับและปรับสภาพสารเคมีให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่อันตราย
การเลือกเครื่องฟอกอากาศทั้งที ควรเลือกให้มีแผ่นกรองที่กรองมลพิษได้ครบทุกรูปแบบ MultiGas Filtration สามารถกรองกลิ่นและสารเคมีในอากาศได้มากกว่า 105 ประเภท และมีปริมาณน้ำหนักมากเพื่อการดูดซับสารเคมีได้อย่างเพียงพอ..
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @IQAir