ในปี 2556 เด็กหญิงวัยสองขวบคนหนึ่งได้กลายเป็นภาพมีม “โคลอีหน้างง” (Side-eye Chloe) ที่ได้รับความนิยมไปทั่ว เพราะสีหน้าที่แสดงความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ไปถูกใจชาวเน็ตจำนวนมาก
อีก 12 ปีต่อมา แม่ของโคลอีก็สารภาพออกมาเป็นครั้งแรกว่าเธอ “รู้สึกผิดมาก” ที่ทำให้ลูกสาวกลายเป็นคนดังในโลกออนไลน์
“ฉันไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ว่ามันจะดังมากขนาดนั้น” เคที เคลม แม่ของโคลอี เคลม สาวน้อยในภาพมีมยอดฮิต กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์นิตยสารพีเพิล “ในตอนนั้น มันดูเหมือนเรื่องน่าสนุกและไม่น่าจะเป็นอันตราย แต่ตอนนี้ที่โคลอีเริ่มโตขึ้น ฉันกลับรู้สึกผิดมากที่ทำแบบนั้น”
การที่เคทีและสามีไม่สามารถควบคุมการใช้งานภาพของลูกสาววัยสองขวบทำให้พวกเขาไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังในโลกออนไลน์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เคทีชี้ว่า อะไรก็ตามที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต มันก็จะอยู่ตลอดไป เธอมักคุยกับสามีถึงความเป็นไปได้ว่าโคลอีอาจโดนละเมิดความเป็นส่วนตัว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
ภาพมีมของโคลอีอยู่ในคลิปวิดีโอที่แม่ของเธอถ่ายไว้ในวันที่ทั้งครอบครัวกำลังจะขับรถไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์กัน แต่โคลอีไม่รู้มาก่อน เมื่อแม่ของเธอเฉลยว่ากำลังจะพาเธอและ ลิลี น้องสาวของเธอไปเที่ยวสวนสนุกในฝันของเด็ก ๆ โคลอีก็แสดงสีหน้างุนงงกึ่ง ๆ ไม่เชื่อออกมา ขณะที่น้องสาวของเธอร้องไห้โฮ

เมื่อแม่ของโคลอีนำคลิปวิดีโอไปโพสต์ลงในช่องยูทูบของพวกเขา ภาพของโคลอีที่แสดงสีหน้าเหลือเชื่อระคนงุนงงนั้นเองที่กลายมาเป็นภาพมีมยอดนิยมของชาวเน็ตในเวลาต่อมา
หลังจากลูกสาวตัวน้อยกลายเป็นคนดัง เคทีกลับรู้สึกกังวลและไม่สบายใจที่เธอเริ่มเห็นใบหน้าของลูกสาวในทุกหนทุกแห่ง และผู้คนก็คอยรบเร้าขอถ่ายรูปกับหนูน้อยชื่อดังวัยสองขวบอยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนที่ครอบครัวของโคลอีเดินทางไปต่างประเทศก็ยังเจอคนคอยตามดูพวกเขา เคทีจำได้ว่าตอนที่พวกเขาเดินทางไปบราซิลนั้น นอกจากจะเห็นภาพใบหน้าของโคลอีอยู่บนบิลบอร์ดยักษ์ทั่วกรุงเซาเปาโลแล้ว พวกเขายังโดนรุมล้อมด้วยฝูงชนจำนวนเป็นร้อย ๆ
แต่แม้จะมีความกดดันสูงหลังจากที่ลูกสาวกลายเป็นคนมีชื่อเสียง เคทีก็ยอมรับว่า สถานการณ์ดังกล่าวช่วยให้พวกเขามีเงินมากขึ้น ภาพมีมของโคลอีสร้างรายได้ให้ครอบครัวเป็นจำนวนมาก เมื่อพวกเขาขายสิทธิ์ให้ผู้ที่ต้องการซื้อไปในเชิงพาณิชย์ และการมีเงินก็ช่วยให้ครอบครัวของโคลอีใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้น ไม่ต้องดิ้นรนมากเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาไม่เพียงแต่สามารถใช้จ่ายเพื่อชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องกระเบียดกระเสียร แต่ยังมีเงินเหลือเก็บอีกด้วย
หลังจากความโด่งดังชั่วข้ามคืนของหนูน้อยโคลอี ก็เริ่มมีสปอนเซอร์ติดต่อครอบครัวเคลม ในที่สุดพวกเขาก็ขายลิขสิทธิ์ของรูปภาพไปเมื่อปี 2564 ในรูปของ NFT ด้วยมูลค่าสูงถึง 74,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเกือบ 2.5 ล้านบาท
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราจนมาก แล้วเรื่องพวกนี้ก็เกิดขึ้นกับเรา แล้วเราก็คิดว่า ‘อะไรเนี่ย? เรามีเงินจ่ายบิลได้แล้ว เราสามารถปรับปรุงอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของเราให้คนสี่คนอยู่ได้สบาย’ มันคือปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง” เคที เคลม กล่าวพร้อมกับเสริมว่า ความจำเป็นในชีวิตของพวกเขาหลายอย่างได้รับการเติมเต็มแล้ว ซ้ำยังสามารถเก็บเงินเพื่อการศึกษาในอนาคตของโคลอีได้


พอมาถึงวันนี้ โคลอีก็อายุ 14 ปีแล้ว เธอกลายเป็นสาววัยรุ่น ใบหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงไปจนคนทั่วไปจำแทบไม่ได้ ทำให้ครอบครัวของเธอโล่งใจมาก
“มันค่อนข้างแปลก” โคลอีพูดถึงชื่อเสียงที่ล้นหลามของตัวเธอในวัยเด็กเมื่อเทียบกับตัวตนในปัจจุบันของเธอที่ไม่ค่อยมีรู้จักหรือจำได้ “บางครั้งมันก็ตลกดี แต่หลาย ๆ ครั้งที่มันประหลาดนิดหน่อย”
การปล่อยให้โคลอีและลิลีใช้ชีวิตปกติในช่วงวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อแม่ของเธอต้องตัดใจยอมทิ้งโอกาสดีๆ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของพวกเธอ อย่างเช่น เมื่อลิลีอายุประมาณ 7 ขวบ บริษัทดิสนีย์ติดต่อมาเพื่อขอให้เธอไปร่วมแสดงในรายการทีวี เคทีตัดสินใจปฏิเสธไปอย่างยากลำบาก เพราะกลัวว่าลูกสาวของเธอจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากงานนั้น
“ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่แนวทางที่ฉันต้องการให้ลูกๆ ของฉันเป็น และจากประสบการณ์ส่วนตัวในการเลี้ยงดูพวกเขา ฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ฟังสัญชาตญาณของตัวเองและไม่เลือกแนวทางนั้น” เธออธิบาย
จากนั้น ครอบครัวก็ค่อยๆ ลดการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียลง โดยอัปโหลดวิดีโอบนช่องยูทุบน้อยลงเรื่อยๆ เคทีให้สัมภาษณ์นิตยสารพีเพิลว่า ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือการเอาลูกสาวมาหาประโยชน์ บังคับให้พวกเธอสร้างคอนเทนต์เพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนาน
“พอพวกเธอโตขึ้นอีกหน่อย ฉันบังคับให้พวกเธอทำโน่นทำนี่แล้วฉันดูออกว่าพวกเธอเบื่อ ฉันรู้ว่าพวกเธอเหนื่อย และฉันก็เลยคิดว่า ‘โอเค เลิกเถอะ’ ” เธอกล่าว
ทุกวันนี้ เคทีให้ความสำคัญกับลูกสาวทั้งสองของเธอเป็นอันดับแรก คอนเทนต์ใดๆ ก็ตามที่พวกเขาเผยแพร่ออกไปนั้น เธอจะต้องมั่นใจก่อนว่าเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกจริง ไม่ได้มาจากแรงกดดันเพื่อสร้างคอนเทนต์ให้เป็นไวรัลหรือเพื่อหารายได้
“แม่ที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แม่คนเดิมที่ฉันเคยเป็นอีกต่อไปแล้ว” เคทีกล่าว
ที่มา : boredpanda.com
เครดิตภาพ : Instagram / chloeclem