ทั้งนี้ กรณี “แม่ลงมือทำร้ายลูก” นั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีเหตุ “แม่วัยรุ่นใช้สายไฟรัดคอลูก” เป็นข่าวน่าสะเทือนใจ โดยผู้ก่อเหตุให้การว่า ทำไปเพราะน้อยใจสามีที่ไม่ช่วยเลี้ยงลูก จนขาดสติโดยเหตุลักษณะนี้เรื่องที่เป็นสาเหตุมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะวัย สติ รวมถึงมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่สังคมไม่ควรชาชิน ควรช่วยกันสกัด “วงจรปัญหา”ป้องกันเหตุน่าสะท้อนใจ-น่าตกใจลักษณะนี้

เหตุการณ์หรือปัญหาลักษณะนี้ ส่วนใหญ่มักเกี่ยวโยงประเด็น “แม่วัยใส-แม่วัยรุ่น”ที่ตั้งท้องมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ “ตั้งท้องโดยไม่พร้อม”ซึ่งทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ก็เคยนำเสนอกรณีปัญหาแบบนี้ไว้หลายครั้ง เพื่อร่วมเตือนให้สังคมตระหนักปัญหาดังกล่าว จนมีกระแสตื่นตัวจากหลาย ๆ ภาคส่วนที่จะจัดการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป…

ปัญหานี้ “วนลูปกลับสู่วงจรเดิม ๆ”

เห็นได้จาก “กรณีแม่โหด” ที่เกิดขึ้น

จะเด็จ เชาวน์วิไล

ทั้งนี้ จากปัญหาลักษณะนี้ที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ “มีคดี-มีเหตุเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง” อีกแล้ว วันนี้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จึงขอสะท้อนแง่มุมไว้อีกครั้ง โดย จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้ระบุถึงเรื่องนี้โดยโฟกัสที่เหตุการณ์ “แม่วัยรุ่นทำร้ายลูกเพื่อประชดสามี” โดยบอกว่า… จากประสบการณ์ที่ทำงานกับเคสลักษณะนี้หลาย ๆ เคส อยากบอกว่า… เรื่องนี้สังคมไม่ควรกล่าวโทษผู้หญิงหรือฝ่ายแม่ฝ่ายเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้อยากขอให้สังคมมองในมุมที่ว่า… การที่ผู้หญิงเลือกตัดสินใจลงมือทำเช่นนี้ ไม่ใช่จู่ ๆ จะทำ แต่ลึก ๆ แล้วอาจ “มีเหตุปัจจัย” กระตุ้น ทำให้แม่วัยรุ่นทำเช่นนี้

ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ขยายถึงปัจจัยที่ทำให้แม่วัยรุ่นทำร้ายลูกว่า… น่าจะเกิดจากสาเหตุหลักสำคัญ 2 ประการ คือ 1.เพราะรู้สึกชีวิตไม่มีทางเลือกและ 2.ถูกกดดันจากปัญหาต่าง ๆ ในครอบครัว เช่น การไร้ความรับผิดชอบของผู้ชายหรือสามี และปัญหาทางเศรษฐกิจ เป็นต้น จนตัดสินใจชั่ววูบด้วยการ “ลงมือทำร้ายลูก” เพื่อประชดชีวิต ทั้งประชดชีวิตตัวเอง หรือประชดสามี รวมถึงประชดครอบครัวและคนรอบตัว …นี่เป็น “มุมวิเคราะห์” ถึง “สาเหตุหลักทำให้เกิดแม่วัยรุ่นโหด”

ด้วยสาเหตุข้างต้นนี้ ทำให้บางคนต้องเลี้ยงลูกคนเดียว จนถึงจุดหนึ่งจึงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีทางออก และไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ทำให้เกิดแรงกดดันในชีวิต แน่นอนเมื่อหาทางออกไม่ได้ ก็เลยง่ายที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา เพราะขาดสติ เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ดังนั้นเวลามีเหตุแบบนี้อย่าโทษผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่ควรโทษผู้ชายกับครอบครัวด้วย”

แหล่งข่าวคนเดิมระบุอีกว่า… แรงกดดันทางชีวิต” ที่แม่วัยรุ่นต้องแบกรับและเผชิญ “เป็นตัวจุดวงจรการใช้ความรุนแรง” ซึ่งถ้าแม่วัยรุ่นมีทางออก หรือมีทางระบายแรงกดดันบ้าง เช่น มีคนคอยพูดคุย มีคนให้คำปรึกษา มีคนช่วยดูแลลูก แรงกดดันชีวิตที่มีก็จะค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยปลดเปลื้องให้ลดน้อยลงไปบ้าง ซึ่งการเลี้ยงดูลูกนั้น แม้แต่เป็นคุณแม่วัยผู้ใหญ่ก็ยังถือว่าเป็นภารกิจที่หนักอึ้งอยู่ดี ดังนั้น ฝั่งผู้ชายหรือสามีก็ควรที่จะช่วยรับผิดชอบเพื่อแบ่งเบาภาระ ของภรรยาบ้าง

ยุคนี้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะมีคุณพ่อช่วยแบ่งเบาให้คุณแม่เยอะขึ้น ซึ่งเป็นผลจากทัศนคติที่เปลี่ยนไปเรื่องชายเป็นใหญ่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางส่วนที่ไม่ยอมเปลี่ยน และอีกส่วนก็มาจากการขาดความรับผิดชอบ” …จะเด็จ กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากการเป็นปัญหาในครอบครัวแล้ว การที่แม่วัยรุ่นขาดประสบการณ์เลี้ยงลูก เพราะขาดคนให้คำปรึกษา เรื่องนี้หากมองลึก ๆ ลงไป การที่ แม่วัยรุ่นไม่รู้จักวิธีเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง หรือขาดประสบการณ์การดูแลลูกที่ดี กรณีนี้ในระยะยาว ย่อมส่งผลทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบ เพราะการอ่อนด้อยทักษะและขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ ประเทศขาดประชากรที่มีคุณภาพ ซึ่งเมื่อประชากรขาดคุณภาพ ประเทศก็ไร้ศักยภาพด้วย

จะเด็จ เชาวน์วิไล ระบุถึงปัญหา “แม่วัยรุ่นทำร้ายลูก”ต่อไปว่า… พอมีข่าวเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จะมีคนที่เกี่ยวข้องออกมาพูดไปเรื่อย แต่พอกระแสจางลงไป ความตื่นตัวที่เคยมีก็จะค่อย ๆ ลดไป และพอผ่านไปสักพักปัญหาก็จะย้อนวนกลับมาอีก ซึ่งที่ “เกิดวงจรปัญหาซ้ำ ๆ”เช่นนี้ เพราะ โครงสร้างใหญ่ยังไม่ถูกปรับเปลี่ยน จนเกิด “ลูปความรุนแรงของแม่วัยใส” ซ้ำ ๆ

อย่างไรก็ดี ทาง ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้เสนอแนะ “วิธีลดปัญหา” ไว้ว่า… ไทยต้องสร้างระบบสนับสนุนคุณแม่วัยรุ่น ให้สามารถดูแลลูก ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ พร้อม ๆ ไปกับการส่งเสริมศักยภาพให้แม่วัยรุ่น เช่น มีศูนย์หางานทำเฉพาะของแม่วัยรุ่น, มีศูนย์รับดูแลเด็กให้กับแม่วัยใส เป็นต้น เพื่อ “เพิ่มทางเลือกชีวิตให้คุณแม่วัยรุ่น” และนอกจากนั้น สังคมไทยยังต้อง “เร่งเปลี่ยนทัศนคติเรื่องชายเป็นใหญ่” เพราะปัญหานี้ก็เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ที่กดทับผู้หญิงอยู่ ทำให้ไม่มีทางเลือกชีวิต จึงลงเอยด้วยการ “ใช้ความรุนแรง” หรือ “ไปลงกับลูก” เพราะลูกไม่สามารถโต้ตอบได้

ถ้าผู้ชายเปลี่ยนทัศนคติ ปัญหานี้จะไม่เกิด และอีกส่วนก็ต้องเข้าใจผู้หญิงด้วย เพราะการคลอดใหม่ ๆ คุณแม่มักเกิดโรคซึมเศร้าจากระบบร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้ชายควรช่วยเลี้ยงลูกบ้าง หรือแบ่งเบาภาระ ซักผ้าอ้อม ชงนมให้ลูก ทำงานบ้าน เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ถ้าทำได้ แนวโน้มที่จะนำสู่สถานการณ์เลวร้ายก็จะลดลง”

นี่เป็น “มุมวิเคราะห์” ต่อกรณีปัญหานี้

แม่วัยรุ่นทำร้ายลูก” ที่ “วนลูปมาอีก”

เป็น “อีกวงจรรุนแรงที่ไม่เคยหยุด!!”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์