การเมืองเชือดเฉือนกันตาต่อตาฟันต่อฟันตั้งแต่การเมืองระดับโลกที่ช้างสาร 2ประเทศสู้กัน ระหว่าง “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ประลองกำลังต่อรองเรื่องกำแพงภาษีเล่นเอาหญ้าแพรกอย่างเราต้องหลบฉากตั้งหลักก่อน

ขณะที่การเมืองของไทยก็ไม่แพ้กัน กำลังดุเดือดเลือดพล่าน ระหว่างศึกสีน้ำเงิน กับสีแดง ฟาดกันนัวเนีย ที่เห็นได้ชัดคือการประลองกำลังใน ศึกคดีฮั้วเลือกส.ว. ที่มีข่าวลือสะพัด กกต.เรียก 60 สว.ล็อตแรก พุ่งเป้าไปที่ตัวเป้งๆ ให้มารับทราบและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ในความผิดตาม พ.ร.ป.ได้มาซึ่ง สว.
ซึ่งจากการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการร่วมสอบกับทางกกต.พบสิ่งผิดปกติหลายอย่างและทำให้เชื่อได้ว่ามีการฮั้วเลือกสว.กันจริง อีกทั้งยังพบเส้นทางเงินแพร่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และมีการกระทำเข้าข่ายไม่สุจริต
ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าจะข่าวปล่อยข่าวลือข่าวลวงแต่ที่แน่ๆเป็นการโยนระเบิดใส่กกต.เพราะการทำหน้าที่ของกกต.ทั้งที่เป็นผู้นำแต่ทำตัวเป็นฤาษีจำศีล ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จนใครๆต้องส่ายหน้า เพราะเวลาผ่านมาเกือบปียังไม่มีบทสรุป จนตอนนี้กลายเป็นลูกไล่ของ “ดีเอสไอ”
เมื่อพ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีเอสไอ เปิดฉากลุยเองยกคณะลงพื้นที่เมืองทองธานี ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ สามารถจับพิรุธฮั้วเลือกสว.67 ระดับประเทศ ทำให้เห็นข้อมูลชัดเจนจนนำไปสู่การกระพือข่าวลือ ว่า กกต.เตรียมเรียก 60 สว.มารับทราบข้อกล่าวหา “คดีฮั้วเลือกสว.” แต่สุดท้าย “อิทธิพร บุญประคอง” ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีมูลความจริง
งานนี้จะจริงหรือมั่ว จะชัวร์หรือไม่ ดูได้จากแรงกระเพื่อมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสว.สีน้ำเงิน เช็คข่าวกันให้วุ่น ขณะที่กกต.เปิดรายละเอียดที่ละหน้ายังกว่าจะขยับ

ล่าสุด “ดีเอสไอ” ชิงกระพือข่าวเปิดเกมรุกต่อข้ามหัวกกต.บอกออกหนังสือเชิญลงชื่อ ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการกกต.ซึ่งเป็นประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวน เรียก 53 สว.ล็อตแรกมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.สว.61 กับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ภายในวันที่ 19 พ.ค.หลังพบหลักฐานเส้นเงินขบวนการจัดฮั้วโยงถึงชัดเจน มีพยานสำคัญให้การซักทอด
และสัปดาห์หน้าจ่อทยอยออกหนังสือเรียกชี้แจงเพิ่มอีกคาดทะลุ 100 สว. เนื่องจากมีการกระทำความผิด ไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยสุจริตเที่ยงธรรม หรือมาโดยการฮั้ว สว. ให้เข้ามาชี้แจง
แต่ถ้าสแกนถึงขั้นตอนการเอาผิดสอยกลุ่มสว.คงต้องรอเป็นปี ตามขั้นตอนจริงๆ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ที่กกต.มีคำสั่งแต่งตั้ง ดำเนินการไต่สวนแล้วมีมูลหรือหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา หรือฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จะมีการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน ตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวนฯ เพื่อให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง และหากมีความจำเป็นก็ขอขยายเวลาได้ แต่หากไม่มาติดต่อมาภายในกำหนดก็ถือว่าไม่ติดใจ

ซึ่งการเรียกจำนวนมากมาชี้แจงกว่า จะครบต้องใช้เวลาไม่น้อย และเมื่อสอบเสร็จแล้ว คณะกรรมการฯก็ต้องทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานกกต.(เลขาธิการกกต. หรือรองเลขาธิการกกต.ที่ได้รับมอบหมาย) พิจารณาเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ เมื่อถูกต้องก็เสนอให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง และถึงจะไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายที่เสนอให้คณะกรรมการกกต.พิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการ
ดังนั้นโอกาสเกมพลิกแบบพลิกฝ่ามือ ด้วยข้อกฎหมายคงจะไม่เกิดผลในเร็ววันแต่อาจจะเป็นแรงกดดันให้สว.พวกที่มีชนักติดหลัง แปรเปลี่ยนจากสีน้ำเงินกลายมาเป็นสีแดงได้บ้างบางส่วน เพราะนอกจากคดีฮั้วสว. แล้วยังมีคดีที่ ดีเอสไอทำอยู่เป็นคู่ขนานไปพร้อมๆกับกกต.ทั้งคดีฟอกเงิน คดีอั้งยี่ ซ่องโจร

งานนี้ “บิ๊กวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชูธงรอฟาดดาบ 2 ทันที หลังกกต.ดำเนินการเรื่องฮั้วสว. เพราะพบว่ามีเส้นทางการเงิน500 ล้านบาท โยงถึงผู้อยู่เบื้องหลังและนักการเมืองระดับใหญ่หลายคน
ขณะที่ค่ายน้ำเงินไม่ได้นิ่ง นั่งรอให้ถูกฟาดฝ่ายเดียวเปิดกลยุทธปล่อยข่าวลือผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ “ณรงค์ เทพเสนา” ทำหนังสือลับแจ้งปลัดมหาดไทย พบกลุ่มบุคคลอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ บังคับอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา 2 คนให้ยอมรับว่า ฮั้วเลือกตั้งสว. พร้อมถอดปลั๊กไฟและกล้องวงจรปิดไม่ให้บันทึกภาพ
เรียกได้ว่าซัดกันหมัดต่อหมัด แต่ค่ายสีน้ำเงินยังเดินเกมรุกด้วยการใช้อำนาจตามกฏหมายสว.ตราบใดที่ยังไม่ถูกสอย ในการคัดเลือกกรรมการในองค์กรอิสระ ที่ทยอยหมดวาระ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการการเลือกตั้งที่กำลังจะหมดวาระ ซึ่งใครก็รู้ว่าในระบบการเมืองไทยองค์กรอิสระเหล่านี้เป็นผู้ชี้เป็น ชี้ตาย ชีวิตของนักการเมืองมาหลายต่อหลายรายแล้ว

อีกทั้งยังมีเกมที่ “พรรคภูมิใจไทย”รอจังหวะกวนน้ำให้ขุ่นสกัดเกมพรรคเพื่อไทย เดินนโยบายเรือธงร่างพ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ หรือสถานบันเทิงครบวงจร โดย“อนุทิน ชาญวีระกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินเกมรุกประกาศชัดพรรคพร้อมสนับสนุน ตามที่รัฐบาลเสนอ แต่ต้องฟังเสียงประชาชน ถ้าดีที่สุดควรทำประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ฟังแล้วดี ก็ถามประชาชนเลยพรรคภูมิใจไทยสนับสนุนทางนี้
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น พรรคร่วมต้องโหวตกฎหมายนี้ทุกพรรค ถ้าพรรคหนึ่งมีเงื่อนไข พรรคอื่นก็มีเงื่อนไข แบบนั้น ถือว่าไม่เรียบร้อย ก็ยังไม่ต้องเอาเข้าสภา พรรคร่วมรัฐบาลต้องเป็นหนึ่งจึงจะผลักดันได้ นี่คือเรื่องของสปิริตพรรคร่วมรัฐบาล

อย่างไรก็ตามศึกระหว่างค่ายสีแดง สีน้ำเงิน พ่วงไปถึงการปรับเก้าอี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีข่าวลือออกมาเยอะ ทั้งที่“นายกฯอิ๊งค์” ออกมายืนยันว่ายังจะไม่มีการปรับครม.ก็ยังสยบกระแสไม่ได้
ต้องจับตาว่าการปรับครม.ครั้งนี้จะปรับครั้งใหญ่พลิกโฉมสร้างภาพลักษณ์ครม.ใหม่ “รัฐบาลแพทองธาร 2” จะแจ่มว้าว หรือไม่

ทามกลางคดีร้อนคดีร้าวเขย่า “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ชั้น 14 ล่าสุดที่ประชุมกรรมการแพทยสภา ที่ 5/2568 มีมติในคำร้องกล่าวโทษแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ตักเตือน1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง หลังจากนี้จะนำเสนอมติต่อสภานายกพิเศษ คือนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เพื่อขอความเห็นชอบก่อนจะดำเนินการตามมติ เป็นไปตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525
ถ้ารัฐมนตรีไม่เห็นด้วย แพทยสภาก็เอาคำคัดค้านนั้นมาพิจารณา และสามารถยืนยันมติเดิมได้ ขณะนี้เผือกร้อนถูกโยนไปที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ซึ่งผลครั้งนี้จะส่งผลเสียต่อนายใหญ่ชั้น 14 หรือไม่ ก็ต้องลุ้นวันที่ 13 มิ.ย.ที่ศาลมีคำสั่งในคดี
นอกจากนี้ยังเจอศาลอาญาไม่อนุญาตให้ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นจำเลยคดีมาตรา 112 นอกราชอาณาจักร แม้การขอเดินทางครั้งนี้อ้างว่ามีโอกาสพบปะโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพูดคุยเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
ถือว่าเป็นการลุ้นระทึกกับวิบากกรรมของ“นายใหญ่ชั้น 14” อีกครั้งว่า จะต้องกลับเข้าไปนอนคุกอีกหรือไม่ หรือหวยจะออกไปลงที่ “เจ้าหน้าที่-แพทย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ศาลเรียกชี้แจง” ต้องโทษ วิบากกรรมครั้งนี้ดูแล้วน่าหวาดเสียว
ยังไม่รวมสถานการณ์ชายแดนรอบประเทศที่เริ่มมีความรุนแรง ความไม่สงบมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยปฏิบัติการฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทั้ง เด็ก ผู้หญิง คนแก่ พระ คนพิการ อีกทั้งยังมีปัญหาระหว่างไทยกัมพูชากรณีประสาทตามเมืองธม ซึ่งเกรงว่าเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
ที่สำคัญปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง โดยเฉพาะสงครามกำแพงภาษีจน นำไปสู่การเลื่อนแจกเงินหมื่นเฟส 3 ออกไปและมีแววที่จะส่อแท้งเพราะไม่เหมาะสมแก่สถานการณ์ในช่วงเวลานี้

ขณะเดียวกันยังมีการขุดเรื่องการถลุงงบแบบไม่เกรงใจประชาชนออกมาประจานรายวัน โดยเฉพาะการรีโนเวทสภาหมื่นล้านที่ “ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาตั้งข้อสังเกตให้ตรวจสอบ 15 โครงการในการของบฯปี 69ปรับปรุงรัฐสภากว่า 2,700 ล้านบาท แพงเกิดความจำเป็น ส่อนำไปสุ่การทุจริตไม่โปร่งใส

งานนี้ต้องจับตาดูเกมตาต่อตาฟันต่อฟัน และการถลุงงบประมาณแผ่นดินแบบไม่เกรงใจประชาชน นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่เห็นหัวประชาชน เห็นแต่พวกพ้องและผลประโยชน์เข้ากระเป๋าปกป้องคนกันเองแบบโนสนโนแคร์ ระวังการเมืองไทยจะเดินกลับเข้าสู่วังวนวงจรอุบาทว์ ในที่สุด