“กำเนิดเทพเจ้า” ของผู้กำกับ “อู๋เอ๋อร์ซาน” เป็นหนึ่งในซีรีส์ภาพยนตร์มหากาพย์ที่น่าจับตาที่สุดแห่งยุค หลังจากสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกกับ “กำเนิดเทพเจ้า 1: อาณาจักรแห่งพายุ” (CREATION OF THE GODS I: KINGDOM OF STORMS) ที่ออกฉายเมื่อปี 2023 และนี่คือการมาของภาค 2 “กำเนิดเทพเจ้า: มหาศึกเทพยุทธ” (CREATION OF THE GODS II: DEMON FORCE) ที่จะทำให้คุณเข้าใจโลกแห่งเทพและมารอย่างลึกซึ้ง!
จากความคาดหวังอันสูงลิ่วหลังจาก “กำเนิดเทพเจ้า 1: อาณาจักรแห่งพายุ” ได้ปูทางเรื่องราวและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แฟนตาซีจีน การมาถึงของ “มหาศึกเทพยุทธ” ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย! มันคือการสานต่อที่ทั้งยิ่งใหญ่ ดุดัน และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด

จากภาคแรก “กำเนิดเทพเจ้า 1: อาณาจักรแห่งพายุ” ได้พาเราไปรู้จักกับจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายในราชวงศ์ซาง เมื่อ “ต๋าจี” วิญญาณจิ้งจอกเก้าหาง ถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์เพื่อทำลาย “โจ้วหวัง” (เฟยเสียง) กษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมและลุ่มหลงในอำนาจ การมาของต๋าจีได้ปั่นป่วนราชสำนัก และหัวใจของโจ้วหวังให้ดำดิ่งสู่ความชั่วร้ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นการถือกำเนิดของเหล่า “ลูกนอกสมรส” หรือบรรดาบุตรบุญธรรมของโจ้วหวัง ซึ่งรวมถึง “จีฟา” (อวี๋ซื่อ) ที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับการปกครองของพ่อเลี้ยง และเริ่มต้นเส้นทางแห่งการกอบกู้แผ่นดิน ที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ภาคแรกคือการปูพื้นฐานตัวละคร ความสัมพันธ์ และความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง ฉากรบที่อลังการ และงานสร้างที่วิจิตรบรรจง ทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ และตั้งตารอภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อ

มาถึง “กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ” เราจะถูกเหวี่ยงเข้าสู่สมรภูมิรบที่แท้จริง! เมื่อความชั่วร้ายของโจ้วหวังได้แผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน ผู้คนล้มตาย บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จีฟาที่แตกหักกับโจ้วหวังอย่างสิ้นเชิง ได้รวมพลเหล่าผู้กล้าและพันธมิตรจากเผ่าต่างๆ รวมถึง “เจียงจื่อหยา” (หวงป๋อ) ปรมาจารย์จากคุนหลุน ที่ได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาช่วยเหลือโลกมนุษย์ การต่อสู้ไม่ใช่แค่ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นการปะทะกันระหว่างพลังแห่งเทพ ปีศาจ และผู้คนที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ภาคนี้เน้นไปที่ฉากสงครามขนาดใหญ่ การประลองกำลังของเหล่าเซียนและอสูร พลังวิเศษถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ และความสูญเสียก็เพิ่มทวีคูณ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ความรัก มิตรภาพ และการทรยศหักหลัง ถักทอเข้ากับฉากแอ็กชันสุดระห่ำ

สิ่งที่ทำให้ “มหาศึกเทพยุทธ” โดดเด่นกว่าภาคแรก คือการที่ภาพยนตร์กล้าที่จะสำรวจด้านมืดและสีเทาของตัวละครมากขึ้น โจ้วหวังในภาคนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่กษัตริย์ที่ชั่วร้ายอย่างผิวเผิน แต่เราได้เห็นเบื้องลึกของจิตใจที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจและกิเลสจนไร้ซึ่งความเมตตา ตัวละครอย่างต๋าจี ก็ไม่ใช่แค่วิญญาณจิ้งจอกที่มาหลอกล่อ แต่มีมิติของความผูกพันกับโจ้วหวังในแบบที่น่าขนลุก ทำให้บทบาทของเธอมีความน่าสนใจ และชวนให้คิดตามถึงต้นกำเนิดของความชั่วร้าย
ขณะเดียวกัน จีฟาเองก็ต้องเผชิญกับความกดดัน และการตัดสินใจที่ยากลำบาก เขาไม่ได้เป็นวีรบุรุษที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นผู้นำที่ต้องเรียนรู้ และเติบโตท่ามกลางความขัดแย้ง การเสียสละของตัวละครบางตัวในภาคนี้ สร้างอารมณ์ร่วม และทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับเรื่องราวมากยิ่งขึ้น

งานภาพและ CG ในภาคนี้ยังคงอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ฮอลลีวูด ฉากการต่อสู้ถูกออกแบบมาอย่างละเอียด ทั้งการใช้พลังวิเศษของเหล่าเซียน และการรบของกองทัพมนุษย์ ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา การออกแบบเครื่องแต่งกาย อาวุธ และฉากต่างๆ ยังคงสะท้อนความงดงามและอลังการของอารยธรรมจีนโบราณได้อย่างน่าประทับใจ
สิ่งที่ทำให้คุณไม่ควรพลาด “กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ”
งานสร้างระดับมหากาพย์: หากคุณชื่นชอบภาพยนตร์ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล มีฉากอลังการ งานภาพสวยงาม CG เนียนตา เรื่องนี้คือคำตอบ คุณจะรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกเทพนิยายจีนจริงๆ
แอ็กชันสุดมันส์: การต่อสู้ในภาคนี้ดุเดือดกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งการรบแบบกองทัพ และการประลองพลังวิเศษของเหล่าเซียนและปีศาจ แต่ละฉากออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ไม่จำเจ และกระตุ้นอะดรีนาลีนได้ดีเยี่ยม
ตัวละครมีมิติ: ตัวละครหลักและรองต่างได้รับการพัฒนาให้มีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ ทำให้เราเข้าใจแรงจูงใจ และการตัดสินใจของพวกเขาได้ดีขึ้น
การเล่าเรื่องที่กระชับและเร้าใจ: แม้จะมีตัวละครมากมาย แต่การเล่าเรื่องในภาคนี้ทำได้กระชับฉับไว ไม่ยืดเยื้อ ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปตลอดเวลา
เชื่อมโยงกับภาคแรกได้อย่างลงตัว: สำหรับคนที่ดูภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้จะตอบโจทย์ความคาดหวัง และเติมเต็มช่องว่างของเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้คุณเข้าใจเส้นทางของตัวละครได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ข้อเสียที่คุณ “อาจจะไม่ปลื้ม”
ต้องดูภาคแรกมาก่อน: หากคุณไม่เคยดู “กำเนิดเทพเจ้า 1: อาณาจักรแห่งพายุ” มาก่อน การมาดูภาคนี้โดยตรง อาจทำให้คุณสับสนกับตัวละคร ความสัมพันธ์ และภูมิหลังของเรื่องราวพอสมควร
ความซับซ้อนของตัวละคร: แม้จะเป็นข้อดี แต่สำหรับผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับเทพปกรณัมจีน หรือเรื่องราวที่มีตัวละครเยอะๆ อาจรู้สึกว่ามีตัวละครให้จำเยอะ และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอาจทำให้บางคนตามไม่ทัน
บางฉากอาจดูรุนแรง: ด้วยความที่เป็นสงครามใหญ่ และมีการปะทะกันของพลังเหนือธรรมชาติ ฉากความรุนแรงหรือฉากที่น่ากลัวบางฉาก อาจไม่เหมาะกับผู้ชมอายุน้อย หรือผู้ที่ไม่ชอบภาพที่รุนแรง
แนวเรื่องแฟนตาซีจ๋า: ถ้าคุณไม่ใช่คอหนังแฟนตาซี เทพนิยาย หรือภาพยนตร์จีนที่เน้น CG หนักๆ อาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวของคุณ

คาดการณ์ถึง “กำเนิดเทพเจ้า 3”
หลังจากที่ “มหาศึกเทพยุทธ” จบลงด้วยความเข้มข้น และทิ้งท้ายปมต่างๆ ไว้ให้เราได้ลุ้นต่อ “กำเนิดเทพเจ้า 3” (Creation of the Gods III: Creation Under Heaven) ที่กำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ และมีกำหนดเข้าฉายในปี 2027 จะเป็นการปะทะครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
ภาค 3 จะเป็นการเข้าสู่บทสรุปของสงครามระหว่างราชวงศ์โจวที่นำโดยจีฟา และราชวงศ์ซางของโจ้วหวัง ที่ถูกครอบงำโดยต๋าจีอย่างสมบูรณ์ เราจะได้เห็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญของเหล่าเทพเซียนอย่าง เจียงจื่อหยา กับปีศาจร้ายที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมด พลังแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์จะรวมกัน เพื่อต่อต้านความมืดมิดที่เข้าคุกคามโลก

5/5
สำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์จีนแฟนตาซี และมหากาพย์สงคราม “กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ” คือภาพยนตร์ที่คุณไม่ควรพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณได้ชมภาคแรกมาแล้ว คุณจะได้รับประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งความตื่นเต้น อลังการ และอารมณ์ที่เข้าถึงตัวละคร แต่ถ้าคุณไม่ชอบหนังแฟนตาซีที่มีเนื้อเรื่องซับซ้อน ตัวละครเยอะ และฉากต่อสู้ที่รุนแรง หรือไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน คุณอาจจะต้องพิจารณาให้ดี หรือกลับไปเริ่มดูจากภาคแรกเสียก่อน เพื่อให้ได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่
โดยส่วนตัวแล้ว “หมีเช” ขอการันตีว่า “กำเนิดเทพเจ้า” ทั้ง 2 ภาคที่ผ่านมา ได้ยกระดับมาตรฐานภาพยนตร์จีนไปอีกขั้น เป็นงานสร้างที่น่าภาคภูมิใจของวงการภาพยนตร์จีนอย่างแท้จริง! เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่มหากาพย์แห่งเทพและมาร ที่จะตรึงคุณไว้กับที่นั่งจนจบเรื่อง!
หมีเช