ขณะที่ในวันที่ 2 ก.ค.68 นี้จะมี “ผู้ว่าฯคนใหม่” เข้ามารับช่วงต่อ จากจำนวนผู้สมัครคัดเลือกทั้ง 7 คน ที่ดีกรีแต่ละคน “ไม่ธรรมดา” และมีผู้สนับสนุนจากทั้งนายแบงก์ นักธุรกิจ และนักการเมือง
เชื่อเถอะ! จนสุดท้ายแล้ว แรงสนับสนุนไหน? ก็คงไม่แรงเท่ากับแรงสนับสนุนจากฟากฝั่งทาง “การเมือง” เพราะผู้ว่าแบงก์ชาติ ต้องเข้ามากำกับดูแลนโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
ดังนั้น…จังหวะ! ท่วงที! ท่วงท่า! ของผู้ว่าแบงก์ชาติ ต้องสอดประสานกับจังหวะ ท่วงที และท่วงท่าของรัฐบาล และรมว.คลัง ไม่เช่นนั้น…การนำพาเศรษฐกิจคงไปไม่ถึงตลอดรอดฝั่ง เหมือนดั่งที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา มีหลายกระแสเสียง ต่างสนับสนุน “ตัวเต็ง” ตามที่ตัวเองชื่นชอบ และเชื่อมั่นในฝีมือของแคนดิเดต ที่ตัวเองเลือกและมั่นใจ
แต่สุดท้ายแล้ว!!! ตัวเต็งจาก 7 คนที่สมัครเข้ามาจะถือ “ตั๋ว” เข้ามานั่งบริหารนโยบายการเงินของประเทศ ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจที่กำลังยักแย่ยักยัน ผงกหัวขึ้นมาให้ได้!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเปิดชื่อ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การเมือง” ผลักดัน เข้ามาในห้วงไม่กี่วันก่อนการปิดรับสมัคร
แม้ “เจ้าตัว” จะออกตัวว่าไม่ใช่ตัวเต็งแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริงถ้าไม่มีแรงหนุนที่ยิ่งใหญ่ จะก้าวข้ามจากแบงก์ออมสินมาทำไม? เพราะฝีมือของ “วิทัย” ก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ที่สำคัญ…ยังอยู่ในสายตาของฝั่งการเมือง
ทั้งการผลักดันนโยบาย Social Bank หรือธนาคารเพื่อสังคม การนำธนาคารออมสินเข้าสู่ธุรกิจ Non-Bank อย่างเต็มตัว การเข้าช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี เพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ที่สำคัญยังเป็นตัวหลัก ในการแก้หนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล “เพื่อไทย” โดยเฉพาะการเป็นหัวหอกในโครงการคุณสู้เราช่วย และเตรียมการ “ยกหนี้” และ”ผ่อนปรนหนี้” ให้กับประชาชนคนไทยที่มีหนี้ไม่สูงอีกราว ๆ 5 แสนคน

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในเวลานี้สังคมจะจับจ้องไปที่ “วิทัย”!!
ขณะที่ “คนใน” อย่าง ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน แบงก์ชาติ ซึ่งคุณสมบัติทุกข้อเกิน 100 คะแนนด้วยซ้ำ
แต่…มีข้อเดียว ที่ฝั่งการเมืองมองว่าไม่เข้าเป้า คือเรื่องของการ “ติดดิน” หรือการที่คนไทยธรรมดาตาดำ ๆ เข้าไม่ถึงแบงก์ชาติ ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติหลักที่ “ฝั่งการเมือง” ต้องการ
ไม่เช่นนั้น!! โอกาส “ซ้ำรอย” เหมือนกับผู้ว่าฯคนปัจจุบัน ก็มีไม่น้อยทีเดียว ต่อให้ “คนแบงก์” ทั้งคนในและคนนอก ต่างสนับสนุนแบบสุดแรงก็ตาม
หันมาที่ “ดร.เม่น-สมประวิณ มันประเสริฐ”อดีตนายแบงก์ และนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับหนุนจากกลุ่มที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก) โดยตรง และมีประสบการณ์หลากหลาย
แม้ความตั้งใจของดร.เม่น จะโดดเด่น โดยเฉพาะการทำให้แบงก์ชาติเป็นผู้กำกับนโยบายการเงินที่ให้บรรดานายแบงก์เข้ามาช่วยเหลือประชาชนคนไทยอย่างเต็มที่
แต่…. หลายคนในฝั่งการเมืองก็มองว่า ด้วยวัยเพียง 50 ปี อาจดูน้อยไปนิด กับความเชื่อมั่นในตลาดเงิน แม้ “ฝีมือ” จะเกิน 100 แบบไม่มีที่ติ!!
เช่นเดียวกับ “ดร.ก้อย– สุทธาภา อมรวิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอบาคัส ดิจิทัล จำกัด ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่มีบทบาทเบื้องหลังทางการเมืองระดับ “คุณหญิง”
แม้ชื่อของ “ดร.ก้อย” จะมาแรงแซงทางโค้ง แต่ด้วยอายุอานาม วัย 51 ปี จะน้อยไปนิดกับความเชื่อมั่นในตลาดเงิน เฉกเช่นเดียวกับ ดร.เม่น ทั้งที่คุณสมบัติไม่ต้องพูดถึง “เพอร์เฟกส์” กันอยู่แล้ว
หันมาที่…ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อีกหนึ่งนายแบงก์ ที่มีคุณสมบัติล้นเหลือ มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ ดั่งที่สังคมรู้เห็นกันอยู่แล้ว แต่ก็เคยทำงานให้กับ “ลุงตู่”
ขณะที่ “ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ” ที่กลับมาลงสมัครชิงตำแหน่ง เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ในปี 63 เคยลงสมัครมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์อีกคนที่มีการนำเสนอความเห็นทางเศรษฐกิจและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการผลักดันให้ประเทศไทยพ้นประเทศรายได้ระดับปานกลาง
สุดท้าย “วิกรานต์ ศุภมงคล” อดีตประธานกรรมการผู้จัดการบริษัท ทูแคปปิตอล หลานชายของ “กันตธีร์ ศุภมงคล” ที่ปัจจุบันเป็นบิ๊กบอส บริษัท ทูแคปปิตอล จำกัด ที่มีประสบการณ์บริหารโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐกว่า 15 ปี
จากรายชื่อผู้สมัครทั้ง 7 คน สุดท้ายแล้ว “เก้าอี้” จะตกไปอยู่ที่ใคร? อีกไม่ถึงเดือนก็จะได้คำตอบ!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”