ในเดือนมิ.ย. นี้ อิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่ออิหร่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ การโจมตีครั้งนี้ครอบคลุมศูนย์กลางนิวเคลียร์ โรงงานผลิตขีปนาวุธ ตลอดจนผู้บัญชาการระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี ) ขณะที่อิหร่านตอบโต้กลับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีการจุดประเด็นคำถาม ถึงเสถียรภาพภายในของรัฐบาลเตหะราน ซึ่งมีอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ ตั้งแต่ปี 2532
ก่อนการสู้รบเปิดฉาก อิหร่านเผชิญกับความกดดันภายในอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเงินเฟ้อสูงเกือบ 40% และความขัดแย้งทางการเมืองแบบต่อเนื่อง ขณะที่นโยบายต่อต้านตะวันตก และการยึดมั่นตามแนวทางปฏิบัติเมื่อปี 2522 อย่างเคร่งครัดของคาเมเนอี ทำให้อิหร่านตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวระหว่างประเทศและต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรอย่างหนักจากนานาชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านฉบับปี 2558 ซึ่งสั่นคลอนอย่างหนักเมื่อสหรัฐถอนตัวฝ่ายเดียว ในปี 2561 ยิ่งทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนต้องเผชิญกับภาวะดิ้นรนอย่างหนัก แม้ทั้งสองประเทศพยายามเจรจาฟื้นฟูความร่วมมือกันในเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก และนำไปสู่การชุมนุมประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลาง

การเสียชีวิตของส.ส. มาห์ซา อมินี เมื่อเดือนก.ย. 2565 นำไปสู่การลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชน รวมทั้งหญิงสาวที่ออกมาเดินขบวนประท้วงตามเมืองใหญ่ในอิหร่าน เพื่อเรียกร้องเสรีภาพในการแต่งกาย โดยเฉพาะการสวมฮิญาบในสถานที่สาธารณะ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นลุกลามไปสู่การประท้วงทั่วประเทศ ท่ามกลางการปราบปรามอย่างเข้มงวดและรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ราย และมีผู้ถูกจับกุมหลายพันคน
ขณะที่รัฐบาลตอบโต้การประท้วง ด้วยการกระชับกฎหมายสังคม ติดตั้งกล้องตรวจจับการแต่งกาย การรณรงค์สนับสนุนคำสอนทางศาสนา และย้ำกฎฮิญาบใหม่ เพื่อรับมือกับแนวคิดเรียกร้อง “ผู้หญิง–ชีวิต–เสรีภาพ” ที่แพร่หลายในหมู่ผู้ประท้วง

นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดในมิติภายนอก หรือทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง จากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งยืดเยื้อตั้งแต่เดือนต.ค. 2566 ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ตึงเครียดอยู่แล้ว ยิ่งบาดหมางกันในระดับสูงมากขึ้นไปอีก
แม้มีอายุมากถึง 86 ปี แต่คาเมเนอียังคงเป็นผู้มีบทบาทสูงสุดในระบบการเมืองและการปกครองของอิหร่าน ตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ผ่านมา คาเมเนอีในฐานะอยาตอลเลาะห์คนที่ 2 ของประเทศ ต่อจากอยาตอลเลาะห์ รูฮัลเลาะห์ โคไมนี มีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทางการเมือง ศาสนา และการทหาร การตัดสินใจสำคัญทั้งภายในและต่างประเทศ ต้องผ่านการพิจารณาและเห็นชอบจากคาเมเนอีก่อน
อย่างไรก็ตาม บทบาทและภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ทำให้คาเมเนอีตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในหลายมิติ นอกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว การเปลี่ยนผ่านผู้นำสูงสุดเป็นประเด็นเลี่ยงไม่พ้น ประเด็นเกี่ยวกับอายุและสุขภาพของคาเมเนอี ทำให้มีการตั้งคำถามเป็นวงกว้างมายิ่งขึ้น เกี่ยวกับการเฟ้นหาผู้สืบทอดตำแหน่ง
มีการมองว่า คาเมเนอี “อยู่ในปลายอายุขัยทางการเมือง” การบริหารภารกิจประจำวันหลายเรื่องอยู่ภายใต้การขับเคลื่อนโดยกลุ่มขั้วอำนาจที่หลากหลาย ซึ่งต่างพยายามหาทางสอดแทรกตัวเข้ามา เพื่อช่วงชิงอิทธิพลกัน สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนอิหร่านต้องสู้รบโดยตรงกับอิสราเอลในครั้งนี้ วิกฤติการณ์กับอิสราเอลยิ่งกลายเป็นตัวเร่ง ให้กระบวนการเหล่านั้นทวีความรุนแรง
นอกจากปัญหาสุขภาพแล้ว คำถามเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุด ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากในสังคมอิหร่าน ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีการบัญญัติขั้นตอนอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร แม้มีการคาดการณ์นักการศาสนาและนักการเมืองอาวุโสไว้แล้วหลายคน แต่บางฝ่ายเสนอให้ไออาร์จีซีเข้ามามีบทบาทกับเรื่องนี้มากขึ้น กระนั้น เรื่องนี้ยังไม่มีความแน่นอน และการโจมตีตอบโต้กับอิสราเอลในระดับรุนแรง จะยิ่งเพิ่มความปั่นป่วน ให้กับเสถียรภาพภายในของอิหร่าน ท่ามกลางการช่วงชิงอำนาจในรัฐบาลศาสนา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อิหร่านภายใต้คาเมเนอีดำเนินนโยบายต่อต้านโลกตะวันตกและอิสราเอลในทางสาธารณะ แต่มิได้ตั้งใจเข้าไปเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยหรือโดยตรง “กลยุทธ์ความอดทนเชิงยุทธศาสตร์” หรือ “ไม่สันติภาพ ไม่สงคราม” ของคาเมเนอี กำหนดให้อิหร่านไม่ทำสงครามแบบเปิดหรือโดยตรง กับอิสราเอลและสหรัฐ เพราะมีความหวั่นเกรงว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของระบอบ
แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวทำให้คาเมเนอีสามารถกำหนดทิศทาง ระหว่างการโน้มน้าวต่างชาติให้เข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์ เมื่อปี 2558 เพื่อบรรเทาภาวะตึงเครียดของอิหร่านในบริบทเศรษฐกิจ ทว่าในเวลาเดียวกัน อิหร่านยังคงไม่ละความพยายาม สนับสนุนกองกำลังพันธมิตร เพื่อเดินหน้าต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจในภูมิภาค นั่นคือ อิสราเอล

อย่างไรก็ตาม แผนยุทธศาสตร์ “ไม่สงบสุข ไม่สงคราม” เป็นไปได้ยากที่จะรักษาไว้ต่อไป นับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาปะทุ เมื่อเดือนต.ค. 2566 ซึ่งอิหร่านสนับสนุนกลุ่มฮามาส ความอดทนเชิงยุทธศาสตร์ของคาเมเนอีเริ่มสั่นคลอน เมื่ออิสราเอลประกาศตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ว่าไม่ล้มเลิกความพยายามยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองอิหร่าน หลังจากหลายสิบปีที่ผู้นำสูงสุดเน้นนโยบาย “ไม่เอาสงคราม” หรือ “ระงับศึก” การเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยครั้งนี้บ่งชี้ว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงระดับใหม่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในมิติของการเมืองภายในอิหร่าน และบทบาทของอิหร่านในระดับโลก
ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล “ทำให้วงโคจร” ของการเมืองอิหร่านสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพราะขั้วอำนาจภายในต้องเผชิญกับแรงกระแทกอย่างหนัก ความอยู่รอดของคาเมเนอีและการถ่ายโอนอำนาจในอนาคต กลับมาเป็นที่จับตาและพูดถึงอีกครั้ง
สำหรับชาวอิหร่านเอง ความไม่พอใจต่อระบบรัฐบาลศาสนายังคงมีอยู่ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นสงคราม แม้มีความหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นโอกาสนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผ่านทางการเมือง มากกว่าไฟสงคราม แต่ในอดีตการเคลื่อนไหวภายในประเทศมักสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ด้วยมาตรการควบคุมของภาครัฐ การคาดการณ์ว่า ชาวอิหร่านจะตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์นี้ จึงยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือ
ท้ายที่สุด วิกฤติการณ์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่บีบบังคับให้ระบบการเมืองของอิหร่านต้องปรับตัว และเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่างประเทศที่ต้องทบทวนใหม่ หรือกระทั่งโครงสร้างภายในที่อาจต้องเตรียมแนวทางสืบทอดอำนาจ หากผู้นำสูงสุดไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อได้ อย่างที่หลายฝ่ายมองว่า สถานการณ์ขณะนี้ ถือเป็น “บททดสอบครั้งสำคัญที่สุด” ของคาเมเนอี.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES