ถูกยกเป็นบุคคลทรงคุณค่าในวงการบันเทิงที่เพื่อนพ้องนักแสดงและแฟน ๆ ชื่นชอบสำหรับนักแสดง ผู้กำกับคนดัง อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ที่แม้วันนี้เขาจะเพลางานในวงการบันเทิงลงไปเนื่องจากปัญหาสุขภาพจากการป่วยสโตรก แต่ก็ไม่ทำให้ความรักในงานในวงการบันเทิงของเขาลดลงไปด้วย แต่เขากลับมุ่งมั่นทำงานต่อไปและล่าสุดกับการผลิตภาพยนตร์เรื่อง “ห่าก้อม” ออกมาให้แฟน ๆ ชม ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับอ๊อฟ เลยไม่พลาดต้องพาทุกคนไปคุยกับเขาสักหน่อย

กลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับภาพยนตร์ “ห่าก้อม” โปรเจกต์นี้เกิดจากอะไร?
“เกิดจากการที่ผมจะทำหนังผี สิ่งแรกก็ต้องเลือกผีก่อน (ยิ้ม) เพราะบ้านเราผีเยอะมาก ผีกระสือ ผีกระหัง ผีตายทั้งกลม เยอะแยะไปหมด สุดท้ายเรามาลงที่ปอบ เพราะว่ามันใกล้ตัว ปัจจุบันนี้ หมู่บ้านบางหมู่บ้านยังมีปอบ ซึ่งปอบมันสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น มันยังมีอยู่นะ”
นำเสนอในแง่ของความเชื่อใช่ไหม?
“ในแง่ความจริงครับ ความเชื่อส่วนความเชื่อนะ แต่ความจริงที่พิสูจน์ได้ยังมีนะ เพราะฉะนั้น ปอบมันอยู่ใกล้ตัวเรา และคนอีสานจะรู้จักเยอะ แล้วเราก็ทำอะไรที่เป็นอีสานค่อนข้างเยอะ ก็เลยตัดสินใจเลือกเป็นผีปอบ ระหว่างที่คิดเรื่อง น้องคนนึงก็เดินมาบอกว่า พี่มันมีคำอยู่คำนึง “ห่าก้อม” เราก็ถามน้องว่ามันคืออะไร เขาก็บอกว่าเป็นผีชนิดนึง เราก็ให้น้องหาความหมายมาว่ามันคืออะไร ซึ่งมันคือ “พญาปอบ” คืออภิมหาปอบ บางข้อมูลก็คือ อาจารย์ที่มีวิชาปราบผี เขาเลี้ยงผี เลี้ยงปอบ วัตถุประสงค์แล้วแต่ พี่ก็มองไม่เห็นประโยชน์ของการเลี้ยงปอบ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้คือ เขาเลี้ยงปอบ เขามีวิชานะ แล้วส่งปอบไปเข้าคน ไม่ได้เลี้ยงแค่ตัวเดียว เลี้ยงเป็น 10 ตัวหรือกี่ตัวก็ได้ คนก็จะมารักษา ซึ่งเขาจะได้ผลประโยชน์ อันนี้คือความเลวไม่ใช่สิ่งที่ดี พอวันนึงมันเอาไม่อยู่ ผีแข็งแรงขึ้น ก็ย้อนกลับเข้าตัว หรือที่เรียกกันว่าวิชาย้อนเข้าตัว พอย้อนเข้าตัวปุ๊บ มันกลายเป็นคนมีวิชาเป็นปอบ ปอบทั่วไปคือคนเป็นปอบ เหมือนคนธรรมดาที่กินไก่ แต่คนที่มีวิชากลายเป็นปอบ ตามตำนานเขาเล่าว่า สามารถที่จะมีอิทธิฤทธิ์แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ มันถึงขั้นที่ฆ่าคนแล้วกินคน กินไส้กินพุงคนได้ และนี่คือคำว่าห่าก้อมที่แปลว่าพญาปอบ ก็เลยตัดสินใจทำเรื่องนี้”
คาดหวังกับงานหนังห่าก้อมขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องของรายได้?
“คาดหวังไหม แอบหวัง เรามีหน้าที่ทำงาน ซึ่งเราก็ทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้ว เมื่องานเสร็จ พอหนังฉาย คนจะดูหรือไม่ดู เป็นหน้าที่ของคนดู ถ้าเขาชอบเขาก็บอกต่อ ถ้าเขาบอกต่อรายได้ก็เข้ามา แต่เราก็แอบหวังนะ เพราะเราเชื่อว่าหนังเราทำดี เราตั้งใจทำ ผมพูดอยู่เสมอว่าภาพยนตร์คือศิลปะ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ผู้กำกับเก่งมากหรอก็แค่กำกับ ฝ่ายศิลป์คือศิลปะ ฝ่ายคอสตูมคือศิลปะของการแต่งตัว กราเฟอร์คือศิลปะของการถ่ายภาพศิลปะของงานแสง คนตัดต่อ ศิลปะของการเล่าเรื่อง ลงเสียงใส่แทร็กเสียง ใส่ซาวด์เอฟเฟกต์ ทุกยูนิตมีอาร์ติสต์หมด งานภาพยนตร์ถือเป็นศิลปะร่วม โดยเล่าผ่านนักแสดง ไปสู่สายตาของคนดู”

ถ้านับถึงวันนี้อยู่วงการบันเทิงมากี่ปีแล้ว ได้อะไรจากวงการนี้บ้าง?
“40 ปีเลยครับ เพราะละครเรื่องแรกของพี่ที่ออกมาในปี 2528 ถ้าถามผมวงการบันเทิงมันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากที่เราถ่ายทำแบบอนาล็อก ซึ่งพี่ไม่ทันละครแบบบอกบทนะ แต่ยังทันดูละครบอกบท มีคนแอบบอกบทให้พูดตาม คือมันเป็นละครสด (ยิ้ม) แล้วถ่ายทอดไปยังบ้านคน แล้วเขาก็เปิดดูกัน เขาก็เลยเลือกละครบอกบทยังทันดูแต่ไม่ทันเล่น ของพี่เป็นการถ่ายทำแบบบันทึกแล้ว จนกระทั่งมาถึงดิจิทัล และวันนี้มีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ในสิ่งที่เราเคยอยู่มันก็เก่าลง ทีวีมันก็กลายเป็นเครื่องประดับไปแล้ว เพราะทุกคนก็ดูผ่านโทรศัพท์กันหมด แต่เราก็ต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ถ้าจะให้เราอยู่แบบเดิมก็อยู่ได้ แต่คนมันทำมาหากินไม่ได้ มันเปลี่ยนไปแล้ว“
ตอนนี้วงการละครโทรทัศน์มันซบเซาลงมาก มีมุมมองยังไงบ้าง?
“ก็เป็นสัจธรรมอย่างนึง ไม่เที่ยงแท้ เพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทุกอย่างแหละไม่ว่าอะไร มันมีเกิด มันก็ต้องมีดับ แต่ในระหว่างที่มันจะดับ เราก็ต้องประคองให้มันดับช้าน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่มีบุญคุณต่อชีวิตเรา เขาจะตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว เราก็ต้องดูแลรักษา ในเมื่อเขายังไม่ตายก็ต้องรักษา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเคลื่อนไหวตามโลกใบนี้ด้วย ไม่งั้นมันก็ต้องอยู่กับที่ ในส่วนของทีวีจะว่าไม่มีคนดูไม่จริงนะ ในความคิดของพี่คือมันลดลงจริง แต่ยังมีอยู่ แต่ว่าเงินในตลาดของเอนเตอร์เทนเมนต์ตรงนี้ มันถูกกระจัดกระจายหมด เมื่อก่อนมันลงทีวีอย่างเดียวเป็นหลัก เราเคยได้โฆษณาทีละ 300,000-500,000 บาท เดี๋ยวนี้ 50,000 บาท เขาจะจ่ายหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไปจ่ายโทรศัพท์ แพลตฟอร์มนั้น เขาไปจ่ายออนไลน์ แล้วไงล่ะ (ยิ้ม) คุณก็ไปออนไลน์บ้างสิ ก็ปรับทางทำมาหากิน ในเมื่อเขาหาออนไลน์ เราก็ต้องหาที่ออนไลน์ เมื่อเงินมันอยู่ในถนนเส้นนั้น ถนนเส้นทีวีเมื่อก่อนเต็มไปหมด ทีนี้มันมีถนนหลายสาย ซึ่งสายที่ใกล้เคียงกับทีวีคือออนไลน์ เราก็ต้องไปบ้างสิ แต่จะไปในลักษณะไหนก็ต้องค่อยว่ากันใหม่”

ปัจจุบันอาชีพผู้กำกับหรือนักแสดงเป็นอาชีพหลักของพี่ไหม?
“ครับ ทีวี ออนไลน์ สตรีมมิ่ง อะไรก็ตาม คุณจะอยู่แพลตฟอร์มไหนก็ตาม คุณใช้คอนเทนต์ อาชีพผมคือทำคอนเทนต์ คุณจะไปออนแอร์ในส่วนของออนไลน์ ทำคอนเทนต์ออนไลน์ได้ ซึ่งสตรีมมิ่งผมทำอยู่แล้ว มันจะมีส่วนอื่นขยายไปอีก อะไรก็ได้เพราะผมทำคอนเทนต์ จ้างผมจัดคอนเสิร์ตผมก็ทำ เราก็ทำมาแล้วด้วย”
แสดงว่าไม่ได้ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ?
“มันก็ต้องเคลื่อนไหว เพราะว่าของเก่าคือของที่เป็นโบร่ำโบราณ มันก็คลาสสิก เราก็เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะฉะนั้นไม่ควรจะลืม เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ วัฏจักรเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว และยังคงอยู่ตลอดไป ถ้าดีเอาเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ดีก็ไม่เอา อนาคตไม่รู้ ต่อไปคุณอาจจะไม่ดูโทรศัพท์ก็ได้ ซึ่งโทรศัพท์มันมีในหนังแล้วนะ แล้วหนังมันนำหน้าตลอด”

เหตุผลอะไรที่คุณอ๊อฟศรัทธาและรักในอาชีพนักแสดงกับวงการบันเทิงขนาดนี้ ?
“เพราะผมทำงานหากินอย่างอื่นไม่ได้ (หัวเราะ) พอเรียนจบมาปุ๊บ อาชีพที่เรียนคือเป็นครู แต่เนื่องจากพ่อกับแม่พี่เป็นครู แล้วก็จน (ยิ้ม) ส่งลูกเรียนเป็นหนี้ทุกปี ๆ โดยที่เราไม่รู้ เราเดินไปร้านตัดเสื้อ พ่อให้มาตัดเสื้อ ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าพ่อเป็นหนี้ 2,000 กว่าบาท ซึ่งตอนนั้นเงินเดือน 800 บาท ซึ่งตอนที่พี่เรียนจบ เงินเดือนครูปริญญาตรีคือ 2,750 บาท แต่อาชีพครู
คือพี่เรียนเพื่อมาเป็นครูแต่พี่สัญญากับตัวเองว่า ไม่เป็นครูเด็ดขาด เพราะพ่อแม่เป็นครูเลยจน (หัวเราะ)”
แสดงว่าไม่เคยลองเป็นครูจากที่จบเลยเหรอ ?
“พี่เคยแต่ฝึกสอน แล้วตัวเองก็เลยไปทำสายอาชีพเกี่ยวกับกีฬา บริษัทรองเท้าดัง ๆ อยู่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ไปทำการตลาด ไปจัดวิ่งการกุศล มินิการกุศลครั้งแรกของเมืองไทย ก็จัดมาทั่วประเทศก็ทำมาปีกว่าและได้รับโอกาสได้มาเล่นละคร ก็เล่นมาเรื่อย จนถึงปัจจุบัน โตขึ้นมาจากนักแสดงก็มาเป็นผู้กำกับเป็นผู้จัด ก็อยู่มาตลอด และตลอดไปด้วย คงจะตายคาอาชีพนี้(หัวเราะ) เพราะแฟนพี่ “พี่แดง ธัญญา” ก็พูดตลอดว่าฉันอยากเกษียณแล้ว แต่มันจะได้เหรอ(ยิ้ม) มันก็นึกไม่ออกเหมือนกันนะ แต่มันก็ต้องเป็นไปตามวัย เพราะในเมื่อสังขารเรามันไม่ไหวแล้ว หลายคนปัจจุบันเขาต้องเลิกเพราะสังขารไม่ได้ อยากพักผ่อน สังขารมันบอกกับตัวเราว่า เราต้องพักผ่อนบ้างนะ ไปอยู่บ้าน เลี้ยงหลานก็ว่าไป ตามวาระ ถ้าเราเลี้ยงหลานเราก็ต้องมีความสุขกับการเลี้ยงหลาน อีกหน่อยอยู่บ้านปลูกผักก็ต้องมีความสุขกับการปลูกพืช หาความสุขกับมัน ทุกที่ทุกเวลา มีความสุขอยู่เสมอ ทุกที่มีความสุขอยู่เสมอเพียงแต่เราหาเจอหรือไม่แค่นั้นเอง”

แต่ยังไม่เกษียณตอนนี้แน่นอน ?
“ครับ ตอนนี้ยังไม่เกษียณ ยังทำอยู่ ยังมีเรื่องที่ทำอยู่ และยังมีเรื่องที่อยากทำอยู่ ที่ยังไม่ได้ทำแต่ต้องทำ ยังมีอยู่”
ตลอดเวลา 40 ปี มีผลงานไหมเป็นมาสเตอร์พีซ สำหรับเราที่เราชอบมากๆ?
“ไม่มีครับ คติการทำงานของผมคือเราต้องเต็มที่กับงานทุกเรื่อง โดยเฉพาะต้องทำด้วยความสงบและความสุข นั่นคือมีความสุขในการทำงานทุกเรื่อง เต็มที่ทุกเรื่อง แต่งานที่ดี จะต้องวัดที่คนดู คนดูชอบอะไรของพี่ต้องถามอย่างนั้นมากกว่า รู้สึกว่าคนดูที่ดูเยอะนะ มี “ทองเนื้อเก้า”, “นาคี”, “กรงกรรม” มันก็หลายเรื่อง แต่ละคนก็แตกต่างกันไป แต่ว่าสำหรับเราเรื่อง 12 ราศี พี่ก็สนุกกับงานอย่างหนึ่ง กรงกรรมก็อย่างนึง มันก็มีอะไรที่แตกต่างกันไป ตอนล้มป่วยด้วยสโตรกผมทำเรื่องกรงกรรม และหนังเรื่องนาคี 2 ก็ตัดต่ออยู่ ทำพร้อมกัน แต่หนังเรื่องนาคี 2 ทำเสร็จแล้ว เราก็ทำจนกระทั่งล้ม”

ปัจจุบันเรื่องสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ?
“ดีขึ้นจากเดิมเยอะมาก เพราะว่าพี่พูดอยู่เสมอว่า ดีขึ้นทุกวัน วันละนิด ๆ แต่ถ้าหากว่าคุณเร่ง คุณสังเกตดูตัวเอง ทุกวัน ไหนบอกว่าดีขึ้น วันรุ่งขึ้นไม่เห็นดีขึ้นเลย แต่ถ้าปีนึงคนที่ไม่เจอเราเขาจะรู้ว่าดูดีขึ้น มันดีขึ้นจากการฝึกทำกายภาพ หลัง ๆ พี่ก็ไม่ค่อยได้ฝึกนะ เนื่องจากการทำงาน พี่ฝึกจากการทำงาน ฝึกเดินจากการทำงาน เดินจากหน้ามอนิเตอร์ไปหน้าเซต ไป ๆ กลับ ๆ ก็ฝึกเดินไง ส่วนฝึกมือก็ให้น้องสาวที่อยู่ในกองยกมือขึ้นให้เพราะว่ายกมือขึ้นเองไม่ได้ แต่ฝึกพูดนี่คือต้องบรีฟนักแสดงแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นได้ใช้ทักษะ”
สร้างกำลังใจจากอะไร เพราะหลายคนลุ้นกับอาการป่วยมากๆ?
“อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว จริง ๆ เราก็แค่อยู่กับมันแค่นั้นเอง ความฝันที่เรามียังทำได้ไหม มันก็ยังทำได้นี่ พี่ชอบเที่ยว เขา (ครอบครัว) พาพี่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเลย สบายทำอะไรก็ได้แล้ว เราบอกกับพี่แดงว่า ขอพักผ่อนปีนึงนะ พี่ก็เลยป่วยได้อย่างสบายใจ เพราะตั้งเป้าว่าปีนึงจะทำงาน ปีนึงแล้วก็ทำตามสัญญา เราก็ลุกขึ้นมาทำงาน ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือความรักในครอบครัว วันไหนที่เราป่วยคนในครอบครัวก็ป่วยด้วยนะ เขาต้องมานั่งเฝ้าเรา ห่วงเรากังวลเรา เขาก็ป่วยด้วย ฉะนั้นต้องรีบหาย หนึ่งเดือน 20 วันพี่อยู่โรงพยาบาล นั่งรถเข็น กลับอยู่บ้านนั่งรถเข็น เห็นบ้านทุกอย่างถูกปรับให้อยู่ในระบบของคนป่วยทั้งหมด ก็ให้เวลาตัวเองเดือนนึง จะต้องดูแลตัวเองให้ได้ ดูแลตัวเองก็คือใช้ชีวิตประจำวันโดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่นให้ได้หนึ่งเดือน และพี่ก็ทำได้ นอนคนเดียวได้ อยู่บ้านคนเดียวได้ ครอบครัวมีส่วนมากที่สุด เขาเข้าใจเราและเราเข้าใจเขา ต้องเข้าใจเขาด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเขาต้องเข้าใจคนป่วยอย่างเดียว เราต้องเข้าใจเขามากกว่าที่เขาต้องมาเข้าใจเราอีก และนี่ก็เป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้เรารีบหาย ฟื้นตัวให้เร็วที่สุด ไม่ต้องหายเป็นปกติเพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่ปกติ ขอแค่ช่วยตัวเองได้ก็พอ”
ในเรื่องของกายภาพ ต้องดูจุดไหนเป็นพิเศษไหม?
“กายภาพจริง ๆ แล้วต้องทำ แต่พี่เวลามันไม่มี ทำงานถ่ายละคร แต่เมื่อชีวิตเราเป็นแบบนี้จงเอาสิ่งนั้นเหมือนกับเป็นการฝึกกายภาพ ก็คือในเวลาถ่ายทำก็เดิน ฝึกเดิน ถ้าคุณเป็นจะรู้ว่าการเดินยากมาก มันเหมือนเด็กฝึกเดิน แต่เด็กฝึกเดินไม่รู้ตัวและเดินได้โดยไม่รู้ แต่เรารู้ตัวแต่เราเดินได้เพราะเราฝึกเดินมันลำบาก มันลำบากที่รู้ทุกอย่างเท่านั้นเอง ตอนนี้ถามว่าแข็งแรงไหมก็ตามสภาพ แต่ไปไหนมาไหนได้ทุกที่”

สุขภาพด้านอื่นอย่างเรื่องความเครียดมีไหม?
“มีครับ พอเราทำงานมันก็หนีความเครียดไม่ได้ แต่ว่าพี่พยายาม เมื่อก่อนเครียดและสะสมด้วย วิธีการรักษาคือการนั่งสมาธิ พอเราเครียดกับความคิด พอได้นั่งสมาธิคือไม่คิด เพราะฉะนั้นถ้าคุณนั่งสมาธิคุณก็จะไม่เครียด รู้การรักษาแล้ว ก็นั่งสมาธิ ว่างก็นั่ง ไม่คิดอะไรจนสมองโล่ง ๆ การกินการใช้ชีวิต เมื่อก่อนเป็นความดันก็กินยา พี่ชอบกินปาท่องโก๋ พอไม่กินมันก็หมดเรื่อง ทุกอย่างแก้
ง่าย ๆ นิดเดียวทำหรือไม่แค่นั้นเอง”
ยิ่งได้คุยกับ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” แล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า แม้เวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่เขาเป็นนักแสดง จนก้าวมาเป็นผู้จัดและผู้กำกับแล้ว แต่ความรักและศรัทธาในวงการบันเทิงของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน และเขาเองก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเองแม้วินาทีนี้เขาจะมีอุปสรรคทางร่างกาย แต่เขาก็ไม่ท้อ ขอท้าทายตัวเองผลิตชิ้นงานดี ๆ เพื่อแฟน ๆ ที่รักของเขานั่นเอง.
เรื่อง-ภาพ : สมคิด แซ่คู