คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2564 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ยังคงเป็นปีที่หนักหน่วงต่อเนื่องจากปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ยังคงระบาดไม่หยุดหย่อนด้วยสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นตามกันมา

เจ้าโรคร้ายนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อโลกและคนบนโลกก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เดินหน้าสู่ระยะวิกฤติ รวมทั้งปัจจัยปลีกย่อยอีกหลายอย่างที่ทำให้เกิดกระแสหรือแนวโน้มใหม่ ๆ ในด้านต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนโลกกันต่อไป โดยมีแนวโน้มที่เริ่มเปิดตัวให้เห็นกันบ้างแล้วในปีนี้

* สกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นเงินคริปโต บิตคอยน์ อีเธอเรียม เทคโนโลยีบล็อกเชนหรือ NFT สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คนรุ่นเก่ายังคงมองด้วยสายตาหวาดระแวงเพราะคิดว่าเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ สกุลเงินและทรัพย์สินดิจิทัลเหล่านี้เริ่มมีบทบาทมากขึ้น สามารถใช้ซื้อขายและลงทุนได้จริง แม้ว่าจะยังมีตลาดในโลกแห่งความเป็นจริงที่รองรับการใช้เงินดิจิทัลซื้อสินค้าจริง ๆ อยู่ไม่มากนัก และมูลค่าของสกุลเงินและทรัพย์สินดิจิทัลยังมีความผันผวนสูง แต่อีกไม่นาน เมื่อคนส่วนใหญ่ตัดสินใจเข้าร่วมวง การใช้เงินดิจิทัลก็อาจกลายเป็นความคุ้นชิน ในทำนองเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแอพพลิเคชั่นธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ซึ่งชนะใจผู้ใช้ได้ด้วยความสะดวกสบาย ใช้งานง่ายและพัฒนาการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจใช้บิตคอยน์ซื้อของในชีวิตจริงได้เหมือนเงินทั่วไปในปัจจุบัน

* เมตาเวิร์ส (Metaverse) หรือในภาษาไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” นี่คือสิ่งที่ไม่ได้เป็นแค่กระแสนิยม แต่ถูกมองว่าคือนวัตกรรมที่จะมาแทนเว็บไซต์และสังคมออนไลน์ต่าง ๆ มันคือการสร้างโลกใบใหม่ที่ซ้อนทับอยู่กับโลกใบเดิม และมีประชากรในรูปแบบของ “อวาตาร์” ของผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถพบปะ พูดคุยและทำกิจกรรมต่าง ๆ กับผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ในพื้นที่ของโลกเสมือนจริงแต่ละแพลตฟอร์ม และขณะนี้ก็กำลังก้าวหน้าไปสู่การซื้อขายและทำธุรกรรมดิจิทัลด้วย

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นความฝันของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าพ่อเฟซบุ๊ก ซึ่งดูเหมือนเว่อร์วังอลังการในตอนแรก ตอนนี้แนวคิดของเขามีผู้ขานรับแทบจะทั่วโลก ทั้งจากผู้พัฒนาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์รายใหญ่และรายย่อย แม้ว่าแพลตฟอร์มของโลกเสมือนจริงในตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนหรือดูจริงจังในความคิดของคนทั่วไป แต่ก็เริ่มได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่และบริษัทเจ้าตลาดใหญ่ ๆ หลายแห่งก็เริ่มหันมาลงทุนกับสินค้าดิจิทัล ทั้งที่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในโลกแห่งความจริง แต่กลับทำกำไรได้อย่างมหาศาล และกลายเป็นตลาดใหม่ที่ไม่มีใครอยากพลาดจะเข้าไปขอมีส่วนแบ่งด้วย

* ตลาดของผลิตภัณฑ์ด้าน VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) อันที่จริงก็เป็นตลาดที่มีมานานแล้ว แต่เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากกระแสนิยมของเมตาเวิร์ส เพราะผลิตภัณฑ์ด้าน AR และ VR คืออุปกรณ์ที่จะทำให้การเข้าถึงโลกแห่งความจริงเสมือนเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสมจริง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นเพียงอุปกรณ์การเล่นเกมหรือใช้ประกอบการแสดงแสงสี ระยะหลังอุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้หลากหลายด้านยิ่งขึ้น เช่น ใช้ในการเรียนการสอนหรือการแพทย์

ยังไม่ต้องมองถึงผู้ผลิตรายย่อย แต่ดูแค่รายใหญ่อย่างแว่นตา Oculus จากค่ายเฟซบุ๊ก ซึ่งในปีนี้กลายเป็นของขวัญยอดนิยมในเทศกาลคริสต์มาสจนมียอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์สูงเป็นอันดับ 1 ของ App Store และคาดว่าปีหน้า ตลาด VR จะดุเดือดกว่าเดิมเมื่อค่ายแอปเปิลเปิดตัว Apple Glass ตามกำหนดการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565

รถยนต์ไฟฟ้าและสถานีชาร์จกำลังจะกลายเป็นภาพชินตาของชาวยุโรปภายในทศวรรษนี้

* รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือที่มักจะเรียกกันแบบย่อ ๆ ว่ารถ EV นี่คือเทรนด์ที่อาจจะไม่ได้ใหม่ แต่มีแนวโน้มว่าจะยึดครองโลกอย่างแน่นอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในฝั่งยุโรปซึ่งมองว่ารถ EV คือกลไกสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องมลพิษและสิ่งแวดล้อม

ในหลายประเทศทางยุโรปจึงเริ่มมีการเตรียมการสาธารณูปโภคพื้นฐานแบบปูพรม เช่น การเร่งสร้างสถานีและจุดชาร์จแบตเตอรี่ รวมถึงการออกกฎหมายใหม่ ๆ เช่น อังกฤษที่การบังคับให้อาคารที่สร้างใหม่ต้องมีจุดชาร์จแบตเตอรี่รถ EV นอกจากนี้ยังมีการวางแผนที่กำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์เลิกผลิตรถแบบดั้งเดิมที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยรถยนต์ที่ผลิตหลังจากปี 2583 จะต้องเป็นรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษออกมาเลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว

สายการบิน S7 ใช้นำ้มันไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงของเครื่องบิน ตัวอย่างของธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมซึ่งกำลังจะกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่อาจมองข้าม

* ธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustianable Business) เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกเข้าขั้นวิกฤติอย่างปฏิเสธไม่ได้ และแนวคิดของคนรุ่นใหม่ซึ่งกำลังจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ในอนาคตนั้น ให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและมักยินดีจ่ายแพงกว่า หากรู้สึกว่าได้ใช้สินค้าที่มีส่วนช่วยแก้ปัญหา ทำให้การตลาดและธุรกิจยุคใหม่จึงไม่อาจมองข้ามประเด็นนี้ไป

แนวโน้มของปีหน้าและปีต่อ ๆ ไปก็คือธุรกิจที่คำนึงถึงทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงการค้าอย่างยุติธรรม (Fair Trade) จากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่ยังรวมถึงธุรกิจที่คิดถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนการผลิตและจัดส่งด้วย บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจที่แสดงความใส่ใจเรื่องเหล่านี้ หรือมีนวัตกรรมที่จูงใจลูกค้าได้ว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ จะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่เสมอ.

เครดิตภาพ : Getty Images